ข้อ 1.
มัลติมีเดีย (Multimedia) มีคำนิยามที่หลากหลาย แต่มัลติมีเดียที่สมบูรณ์แบบ เหมาะสมกับวิชา New Media คืออะไร
ตอบความหมายของมัลติมีเดีย
มัลติมีเดีย เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และใช้คอมพิวเตอร์แสดงผลในลักษณะผสมสื่อหลายชนิดเข้าด้วยกัน ทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ โดยเน้นการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้
องค์ประกอบที่ขาดกันไม่ได้
มัลติมีเดียมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ
1.คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเห็นได้ยิน สามารถโต้ตอบแบบปฏิสัมพันธ์ได้
2.การเชื่อมโยง สื่อสาร ทำให้สื่อต่างๆ ไหลเข้ามาเชื่อมโยงและนำเสนอได้
3.ซอฟต์แวร์ ทำให้เราท่องไปในเครือข่ายที่เชื่อมโยงข่าวสาร
4.มัลติมีเดีย ต้องให้เราในฐานะผู้ใช้สามารถสร้าง ประมวลผล และสื่อสารข่าวสารต่างๆ ได้
มัลติมีเดียจึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหลายอย่างที่ประกอบกัน หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็ไม่สามารถเรียกว่า มัลติมีเดีย เช่น ถ้าขาดคอมพิวเตอร์จะทำให้เราไม่สามารถปฏิสัมพันธ์โต้ตอบได้ สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่มัลติมีเดีย น่าจะเรียกว่าการแสดงสื่อหลายสื่อ แต่ถ้าขาดการเชื่อมโยงสื่อสาร ก็จะเหมือนกับเป็นข่าวสารไว้ในชั้นหนังสือ หรือถ้าขาดเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ทำให้เราท่องไปหรือมีส่วนเข้าไปปฏิสัมพันธ์ด้วยก็จะเหมือนกับดูภาพยนตร์และถ้าขาดช่องทางที่จะให้ผู้ใช้เข้าไปมีส่วนร่วม ก็จะเหมือนกับโทรทัศน์
ช่องสัญญาณสื่อสารสำคัญต่อมัลติมีเดีย
มัลติมีเดียประกอบด้วยเทคโนโลยีการสร้างประมวลผลวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ข้อความและรูปภาพ เมื่อมีการสื่อสารร่วมด้วย ทำให้ต้องใช้ช่องสัญญาณสื่อสารที่มีแถบกว้างมาก (Hing Bandwidth) รองรับการทำงานสื่อสารสองทิศทาง โดยเน้นการย่นระยะทางไกลๆ ให้เสมือนอยู่ชิดใกล้โต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็ว
ระบบสื่อสารข้อมูลที่รองรับมัลติมีเดียต้องมีการรับประกันการบริการ (Qos Quality of Service) กล่าวคือ การรับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง ข้อมูลที่ส่งมีลักษณะเป็นสายข้อมูล ดังนั้นข้อมูลจะต้องถึงปลายทางตามกำหนดเวลา และให้รูปแบบที่ต่อเนื่อง ได้ลองนึกดูว่าหากต้องการส่งหรือรับข้อมูลแบบมัลติมีเดียที่ประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหวก็ดี เสียงก็ดีจะต้องมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะขาดหายเป็นช่วงๆ ไม่ได้ ดังนั้น คุณภาพของระบบมัลติมีเดียจึงเกี่ยวโยงกับระบบสื่อสารข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลอันรวดเร็วมากของซีพียูในคอมพิวเตอร์ด้วย
เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล
สิ่งที่สำคัญตามมาคือ มาตรฐานของเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล อาทิเช่นเทคนิคการบีบอัดข้อมูลวีดีโอเป็น MPEG การบีบอัดข้อมูลเสียงเป็น MIDI และการบีบอัดเสียงพูดด้วย ADPCM หรือแม้แต่รูปภาพก็บีบอัดเป็น GIF หรือ JPEG เป็นต้น การบีบอัดทำให้รับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น และยังใช้ที่เก็บความจุลดลง
ชนิดของโปรโตคอลสื่อสาร
เราแบ่งแยกชนิดของโปรโตคอลสื่อสารให้รองรับในระบบมัลติมีเดียออกเป็น 2 แบบคือ โปรโตคอลเชื่อมโยง (Connection Protocol) และ โปรโตคอลไม่เชื่อมโยง (Connectionless Protocol)
โปรโตคอลเชื่อมโยง หมายถึง ก่อนการรับส่งสายข้อมูลจริง จะต้องมีการตรวจสอบสำรวจหา เส้นทาง เพื่อให้ตัวรับและตัวส่งเชื่อมโยงกันได้ก่อน จากนั้นสายข้อมูลจึงจะไหลไปตามการเชื่อมโยงนั้น
ดังนั้น การใช้มัลติมีเดียบนเครือข่ายจึงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ บนโปรโตคอลทั้งสองนี้ให้ใช้งานได้บนเครือข่าย ลักษณะของการประยุกต์มัลติมีเดียบนเครือข่ายจึงมีหลายรูปแบบคือ
การสื่อสารแบบ Broadcast คือสถานีบริการหนึ่งสามารถส่งกระจายข่าวสารมัลติมีเดียไปให้กับผู้ขอให้บริการ (Client) ที่อยู่บนเครือข่ายได้ทุกเครื่องในเวลาเดียวกัน โดยต้องการให้ผู้ชมสามารถโต้ตอบกลับได้ นั่นคือร่วมเล่นเกมโชว์จากทางบ้านได้เป็นต้น
การพัฒนาระบบเครือข่าย
หากพิจารณาดูว่าถ้ามีข่าวสารแบบมัลติมีเดียอยู่มากมายวิ่งอยู่บนเครือข่าย เช่น การให้บริการข่าวหนังสือพิมพ์ การให้บริการคาราโอเกะ การเรียนการสอนทางไกล การบริการทางการแพทย์ การซื้อขายของบนเครือข่าย ฯลฯ ข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายจะมีความหนาแน่นเพียงไร
สายสื่อสารข้อมูลที่วิ่งบนเครือข่ายคงต้องการระบบสื่อสารข้อมูลที่มีแถบกว้างมาก (Hing Bandwidth) และต้องการโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงที่รองรับการให้บริการต่างๆ การส่งสายสื่อสารข้อมูลไปให้ผู้ใช้ตามจำนวนมากบนเครือข่าย อาจจะทำให้เกิดปัญหาการใช้สายสื่อสารข้อมูลจำนวนมาก ปัญหานี้สามารถลดได้ด้วยการส่งสายสื่อสารข้อมูลเพียงรายเดียวในเครือข่าย อุปกรณ์สวิตชิ่งจะส่งกระจายไปหลายๆ ที่ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้เองลักษณะการสงกระจายบนเครือข่ายแบบนี้เรียกว่า Multicast Backbone (MBONE)
แนวโน้มการขยายตัวของโลกในเครือข่ายหรือไซเบอร์สเปซมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงขอฝากไว้กับการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายให้รองรับการประยุกต์ใช้งานมัลติมีเดียที่มา : http://www.softwarepark.co.th/itcenter/Knowledge/KnowIT.asp#
ข้อ 2.
ก) จงอธิบายความหมายของการติดต่อสื่อสาร โดยใช้ระบบ Circuit Switching
คำตอบ
ลักษณะที่สำคัญของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเซอร์กิตสวิตซ์ก็คือ ก่อนจะเริ่มส่งข้อมูลจะต้องกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูลก่อน โดยต้นทางจะมีการร้องขอ (Request) ว่าจะส่งข้อมูลให้ และปลายทางจะต้องตอบรับ (Acknowledge) ว่าพร้อมจะรับข้อมูลนั้น ดังนั้นจึงสูญเสียเวลาช่วงหนึ่งสำหรับการติดต่อนี้ก่อนเริ่มส่งข้อมูลกันจริงๆ ตัวอย่างของเครือข่ายเซอร์กิตสวิตซ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในปัจจุบันคือ เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
เมื่อวงจร (เส้นทาง) ถูกกำหนดขึ้นแล้ว (Establishment) วงจรนั้นจะถือว่าไม่ว่างสำหรับการส่งข้อมูลจากเทอร์มินัลอื่น จนกว่าวงจรจะถูกยกเลิกการติดต่อ (Disconnect) ในระหว่างการส่งข้อมูล (Data transfer) ข้อมูลจะถูกส่งด้วยอัตราเร็วคงที่ และไม่มีเวลาประวิง (Delay) ระหว่างการส่งข้อมูล ข้อเสียของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเซอร์กิตสวิตซ์คือ เนื่องจากเทอร์มินัลอื่นไม่สามารถเข้ามาร่วมใช้สายเดียวกันในเวลาเดียวกันได้ และเวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการร้องขอและการตอบรับการส่งข้อมูล ดังนั้นค่าบริการในเครือข่ายเซอร์กิตสวิตซ์จึงขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล จึงเหมาะสำหรับการส่งไฟล์ข้อมูลที่ต่อเนื่อง และใช้งานตลอดเวลา เช่น ระบบ ATM ระบบการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ บริการดาต้าเนต
ข) จงอธิบายความหมายของการติดต่อสื่อสารโดยใช้ระบบ Packet Switching
คำตอบ
ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแมสเสดสวิตซ์เราสามารถส่งบล็อกของข้อมูลด้วยขนาดใหญ่เท่าใดก็ได้ ดังนั้นในแต่ละสถานีสวิตชิ่งจึงจำเป็นต้องมิสก์เก็บกักข้อมูลให้เพียงพอ ถ้าเกิดมีความผิดพลาดขึ้นในระหว่างการส่งข้อมูลเราจะต้องส่งข้อมูลให้ปลายทางใหม่ทั้งบล็อกข้อมูล จึงนับว่าเป็นข้อเสียของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแมสเสดสวิตช์อย่างหนึ่ง
ในทางตรงกันข้ามสำหรับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์ ขนาดของบล็อกของข้อมูลจะถูกจำกัดขนาดจึงจำเป็นต้องแบ่งบล็อกข้อมูลออกเป็นแพ็กเกจ (Packet) เพื่อทำให้มีขนาดเล็กลง และทำให้สถานีสวิตช์สามารถเก็บกักข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ (Buffer) เป็นการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องใช้ดิสก์สำรอง เครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์เป็นการรวมข้อดีของเครือข่ายเซอร์กิตสวิตช์และเครือข่ายแมดเสดสวิตช์เข้าด้วยกัน และกำจัดข้อเสียของเครือข่ายทั้ง 2 ชนิดด้วย แต่ลักษณะโดยทั่วไปแล้วเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครือข่ายแมสเสดสวิตช์มากกว่า
สำหรับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์ ข้อมูลจะถูกส่งออกไปทีละแพ็กเกจเรียงลำดับตามกัน โดยแต่ละสถานีจะเป็น store-and-forward หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในแพ็กเกจเมื่อใดสถานีสวิตชิ่งนั้นก็จะทำการร้องขอให้สถานีสวิตชิ่งก่อนหน้านั้นส่งเฉพาะแพ็กเกจที่มีความผิดพลาดนั้นมาให้ใหม่ และไม่จำเป็นจะต้องรอให้ผู้ส่งทำการส่งข้อมูลมาให้ครบทุกแพ็กเกจแล้วจึงค่อยส่งข้อมูลไปให้สถานีอื่นต่อไป ซึ่งลักษณะการทำงานเช่นนี้จะทำให้การส่งข้อมูลในเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์สามารถทำงานได้เร็วมากจนดูเสมือนไม่มีการเก็บกักข้อมูลเลย
ลักษณะอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์คือ การเลือกการจัดวงจร (เส้นทาง) ของข้อมูลเป็นแบบ วงจรเสมือน (Virtual Circuit) และแบบ วงจาดาต้าแกรม (Datagram Circuit) เครือข่ายอาจจะเลือกจัดวงจรแบบใดแบบหนึ่งเพื่อทำการส่งข้อมูลก็ได้ ลักษณะที่สำคัญของการส่งข้อมูลแบบวงจรเสมือนคือเส้นทางของข้อมูลจากโหนดสู่โหนดในเครือข่ายจะถูกกำหนดขึ้นก่อนการส่งข้อมูล ข้อมูลแต่ละแพ็กเกจจะส่งเรียงลำดับตามหมายเลขของแพ็กเกจทำให้เราสามารถควบคุมการไหลของข้อมูลและการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลได้ง่าย
ส่วนการส่งข้อมูลแบบวงจรดาต้าแกรมนั้น เครือข่ายอาจจะกำหนดวงจร (เส้นทาง) ของข้อมูลก่อนหรือไม่กำหนดก็ได้ หรืออาจจะทำการเลือกเส้นทางขณะที่ข้อมูลถูกส่งออกไปพร้อมๆ กัน และแพ็กเกจของข้อมูลก็ไม่จำเป็นที่จะต้องส่งออกเป็นลำดับๆ เรียงกันไป ตัวอย่างการส่งข้อมูลโดยกำหนดเส้นทางข้อมูลแบบวงจรเสมือน และแบบวงจรดาต้าแกรม
ค) ระหว่าง Circuit Switching กับ Packet Switching มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน อย่างไร
คำตอบ
ข้อดีของการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์ ได้แก่
ก่อนเริ่มต้นการส่งข้อมูล วงจรไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันการตอบรับจากคู่สายก่อน อย่างเช่น เครือข่ายเซอร์กิตสวิตช์
ข้อมูลจะถูกส่งออกเป็นแพ็กเกจขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นการส่งข้อมูลให้ใหม่จะไม่ทำให้เสียเวลามากนัก
แพ็กเกจข้อมูลมีลำดับเลขกำหนดไว้ที่แต่ละแพ็กเกจและจะทำการส่งเรียงลำดับกันไป ทำให้สามารถตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ง่าย
การกำหนดวงจรหรือเส้นทางก็ไม่จำเป็นจะต้องตายตัว (Dynamic) จึงมีความยืดหยุ่นกว่าเครือข่ายแบบเซอร์กิตสวิตช์และแบบแมสเสดสวิตช์
ข้อแตกต่างระหว่างเครือข่ายแบบเซอร์กิตสวิตช์ และแพ็กเกจสวิตช์
เซอร์กิตสวิตช์คู่สายจะต้องยืนยันการส่ง-รับ ข้อมูลก่อน แพ็กเกจสวิตซ์ไม่มีการยืนยัน(establishment),เซอร์กิตสวิตซ์คู่สายไม่ว่างขณะมีการรับ-ส่งข้อมูลกัน แพ็กเกจสวิตซ์สายว่างตลอดเวลา,เซอร์กิตสวิตซ์ส่ง-รับข้อมูลด้วยเวลาจริง (real time) แพ็กเกจสวิตซ์เร็วมากจนดูเสมือนเท่ากับเวลาจริง,เซอร์กิตสวิตซ์ไม่มี store-and-forwardStore-and-forward ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งไปในเส้นทางเดียวกัน แพ็กเกจสวิตซ์เส้นทางไม่เจาะจง (dynamic) ,เซอร์กิตสวิตซ์ป้องกันการสูญหายของข้อมูล แพ็กเกจสวิตซ์ป้องกันการสูญหายและความผิดพลาดของข้อมูล,เซอร์กิตสวิตซ์ค่าบริการขึ้นอยู่กับเวลาขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงรหัสและอัตราเร็วของข้อมูลแพ็กเกจสวิตซ์เปลี่ยนแปลงรหัสและอัตราเร็วของข้อมูลได้
อัตราค่าบริการการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็กเกจสวิตช์นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลเป็นสำคัญ ตัวอย่างการบริการที่มีให้ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ บริการของไทยแพค (THAIPAK) ซึ่งเป็นการบริการการส่ง-รับข้อมูลผ่านเครือข่ายการโทรศัพท์สามารถส่ง-รับข้อมูลด้วยอัตราเร็ว 300-9,600 บิตต่อวินาที
ง) การสื่อสารแบบ internet เป็นการสื่อสารแบบ Circuit Switching หรีอ Packet Switching
คำตอบ
การสื่อสารแบบ internet เป็นการสื่อสารแบบ Packet Switching เพราะมันสามารถส่งข้อมูลได้ทีละน้อยๆ และสามารถหยุดส่งข้อมูลได้กลางคันถ้าหากข้อมูลนั้นผิดพลาดหรือไม่ต้องการข้อมูลแล้ว ส่วนCircuit Switching จะส่งข้อมูลทีละมากๆ ถ้าเกิดส่งผิดจะต้องส่งใหม่ทั้งหมด
จ) การวิวัฒนาการของระบบการสื่อสาร เพื่อการสื่อสารแบบมัลติมีเดีย มีการพัฒนาไปสู่ IP NETWORK อยากทราบว่า IP NETWORK เป็นการสื่อสารแบบ Circuit Switching หรือ Packet Switching มีเหตุผลอย่างไร
คำตอบ
IP NETWORK เป็นการสื่อสารแบบ Packet Switching เพราะการส่งข้อมูลในปัจจุบัน เป็นการส่งข้อมูลทีละน้อยๆ โดยจะส่งเป็นกลุ่มข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์โดยมีการระบุAddressปลายทางที่จะส่งข้อมูลนั้น
ที่มา : การสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย โดย น.ต. ฉัตรชัย สุมามาลย์, 2521.
ข้อ 3.
ก) จงอธิบายข้อดี ข้อด้อย ของเส้นนำสัญญาณ (Media) สายทองแดง และสายไฟเบอร์ออพติก
คำตอบ
ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยงเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะของตัวกลางต่างๆ มีดังต่อไปนี้
1)สายคู่บิดเกลียว
สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) แต่ละคู่สายทองแดงจะถูกพันกันตามมาตรฐนเพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากคู่สายข้างเคียงกายในเคเบิลเดียวกันหรือจากภายนอก เนื่องจากสายคู่บิดเกลียวนี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถี่สูงผ่านได้ถึง 10Hz หรือ 10 Hz เช่น สายคู่บิดเกลียว 1 คู่ จะสามารถส่งสัญญาณเสียงได้ถึง 12 ช่องทาง สำหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายคู่บิดเกลียวจะขึ้นอยู่กับความหนาของสายด้วย กล่าวคือ สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ากำลังแรงได้ ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่วนสูง โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งข้อมูลดิจทัล สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยมสายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสายคู่บิดเกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี แล้วน้ำหนักเบาง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างคือ สายโทรศัพท์ สายแบบนี้มี 2 ชนิด คือ
ก.สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน
(Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวหุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้น เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าข.สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน
(Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นทำให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก2)สายโคแอกเชียล
สายโคแอกเชียลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มีการใช้งานกันมาก ไม่ว่าในระบบเครือข่ายเฉพาะที่ ในการส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์หรือการส่งข้อมูลสัญญาณวีดิทัศน์ สายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทัล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณแอนะล็อก สายโคแอกเชียลจะมีฉนวนหุ้มป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และสัญญาณรบกวนอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่สัญญาณไฟฟ้าสามารถผ่านได้กว้างถึง 500 Mhz จึงสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง
ลักษณะของสายโคแอกเชียล
3)เส้นใยนำแสง
เส้นใยนำแสง (fiber optic) เป็นการใช้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำแสงกับระบบอีเธอร์ เน็ตจะใช้ได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิต ถ้าใช้กับ FDDI จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิต เส้นใยนำแสงมีลักษณะพิเศษที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุด ดังนั้น จึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคาร ระยะความยาวของเส้นใยนำแสงแต่ละเส้นใช้ความยาวได้ถึง 2 กิโลเมตร เส้นใยนำแสงจึงถูกนำไปใช้เป็นสายแกนหลัก เส้นใยนำแสงนี้จะมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะให้ความเร็วที่สูงมาก
ลักษณะของเส้นใยนำแสง
เส้นใยแก้วนำแสง
ในอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย สำนักงาน อาคารอุตสาหกรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้สายสัญญาณเพื่อเชื่อมโยงระบบสื่อสาร แต่เดิมสายสัญญาณที่นำมาใช้ได้แก่สายตัวนำทองแดง
ปัจจุบันสายสัญญาณระบบสื่อสารมีความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และมีแนวโน้มที่จะรวบระบบสื่อสารอย่างอื่นประกอบเข้ามาในระบบด้วย เช่น ระบบเคเบิลทีวี ระบบโทรศัพท์ ระบบการบริการข้อมูลข่าวสารเฉพาะของบริษัทผู้ให้บริการต่างๆ ความจำเป็นในลักษณะนี้จึงมีผู้ตั้งคำถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะให้อาคารที่สร้างใหม่มีระบบเครือข่ายสัญญาณด้วยเส้นใยแก้วนำแสง
หากพิจารณาให้ดีพบว่า เวลานั้นได้มาถึงแล้ว ปัจจุบันราคาของเส้นใยแก้วนำแสงที่เดินไปในอาคารมีราคาใกล้เคียงกับสายยูทีพีแบบเกรดที่ดี เช่น แคต 5 ขณะเดียวกันสายเส้นใยแก้วนำแสงให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่ามากและรองรับการใช้งานในอนาคตได้มากกว่า
สายยูทีพีแบบแคต 5 รองรับความเร็วสัญญาณได้ 100 เมกะบิตต่อวินาที และมีข้อจำกัดในเรื่องความยาวเพียง 100 เมตร ขณะที่เส้นใยแก้วนำแสงรองรับความถี่สัญญาณได้หลายร้อยเมกะเฮิรตซ์ และยังใช้ได้กับความยาวถึง 2000 เมตร การพัฒนาในเรื่องต่างๆ ของเส้นใยแก้วนำแสงได้ก้าวมาถึงจุดที่จะนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางแล้ว
จุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสง
จุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงมีหลายประการ โดยเฉพาะจุดที่ได้เปรียบสายตัวนำทองแดง ที่จะนำมาใช้แทนตัวนำทองแดง จุดเด่นเหล่านี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประกอบด้วย
ความสามารถในการรับส่งข้อมูลข่าวสาร
เส้นใยแก้วนำแสงที่เป็นแท่งแก้วขนเหล็ก มีการโค้งงอได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใช้กันมากคือ 62.5/125 ไมโครเมตร เส้นใยแก้วนำแสงขนาดนี้เป็นสายที่นำมาใช้ภายในอาคารทั่วไป เมื่อใช้กับคลื่นแสงความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้มากกว่า 160 เมกะเฮิรตซ์ ที่ความยาว 1 กิโลเมตร แล้วถ้าใช้ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้กว่าง 500 นาโนเมตร ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าลดความยาวเหลือ 100 เมตร จะใช้กับความถี่สัญญาณมากกว่า 1 กิกะเฮิรตซ์ ดังนั้นจึงดีกว่าสายยูทีพีแบบแคต 5 ที่ใช้กับสัญญาณได้ 100 เมกะเฮิรตซ์
กำลังสูญเสียต่ำ
เส้นใยแก้วนำแสงมีคุณสมบัติในเชิงการให้แสงวิ่งผ่านได้ การบั่นทอนแสงมีค่าค่อนข้างต่ำ ตามมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสง การใช้เส้นสัญญาณนำแสงนี้ใช้ได้ยาวถึง 2000 เมตร หากระยะทางเกินกว่า 2000 เมตร ต้องใช้รีพีตเตอร์ทุกๆ 2000 เมตร การสูญเสียในเรื่องสัญญาณจึงต่ำกว่าสายตัวนำทองแดงมาก ที่สายตัวนำทองแดงมีข้อกำหนดระยะทางเพียง 100 เมตร
หากพิจารณาในแง่ความถี่ที่ใช้ ผลตอบสนองทางความถี่มีผลต่อกำลังสูญเสีย โดยเฉพาะในลวดตัวนำทองแดง เมื่อใช้เป็นสายสัญญาณ คุณสมบัติของสายตัวนำทองแดงจะเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้ความถี่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ความถี่ของสัญญาณที่ส่งในตัวนำทองแดงสูงขึ้น อัตราการสูญเสียก็จะมากตามแต่กรณีของเส้นใยแก้วนำแสงเราใช้สัญญาณความถี่มอดูเลต์ไปกับแสง การเปลี่ยนสัญญาณรับส่งข้อมูลจึงไม่มีผลกับกำลังสูญเสียทางแสง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถรบกวนได้
ปัญหาที่สำคัญของสายสัญญาแบบทองแดงคือ การเหนี่ยวนำโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหานี้มีมาก ตั้งแต่เรื่องการรบกวนระหว่างตัวนำหรือเรียกว่าครอสทอร์ค กามแมตซ์ พอดีทางอิมฟีแดนซ์ ทำให้มีคลื่นสะท้อนกลับ การรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่เรียกว่า EMI ปัญหาเหล่านี้สร้างให้ผู้ใช้ต้องหมั่นดูแล
แต่สำหรับเส้นใยแก้วนำแสงแล้วปัญหาเรื่องเหล่านี้จะไม่มี เพราะแสงเป็นพลังงานที่มีพลังงานเฉพาะและไม่ถูกรบกวนของแสงจากภายนอก
น้ำหนักเบา
เส้นใยแก้วนำแสงมีน้ำหนักเบากว่าเส้นลวดตัวนำทองแดง น้ำหนักของเส้นใยแก้วนำแสงขนาด 2 แกนที่ใช้ทั่วไปมีน้ำหนักเพียงประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสายยูทีพีแบบแคต 5
ขนาดเล็ก
เส้นใยแก้วนำแสงมีขนาดทางภาคตัดขวางแล้วเล็กกว่าลวดทองแดงมาก ขนาดของเส้นใยแก้วนำแสงเมื่อรวมวัสดุหุ้มแล้วมีขนาดเล็กกว่าสายยูทีพี โดยขนาดของสายใยแก้วนี้ใช้พื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของเส้นลวดยูทีพีแบบแคต 5
มีความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลสูงกว่า
การใช้เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะใช้แสงเดินทางในข่าย จึงยากที่จะทำการแท็ปหรือทำการตัดฟังข้อมูล
มีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
การที่เส้นใยแก้วเป็นฉนวนทั้งหมด จึงไม่นำกระแสไฟฟ้า การลัดวงจร การเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดขึ้น
ความเข้าใจผิดบางประการ
แต่เดิมเส้นใยแก้วนำแสงมีใช้เฉพาะในโครงการใหญ่ หรือใช้เป็นเครือข่ายแบบแบ็กโบน เทคโนโลยีเกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสงก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการเกี่ยวกับคุณสมบัติและการประยุกต์ใช้งาน
แตกหักง่าย
ด้วยความคิดที่ว่า แก้วแตกหักได้ง่าย ความคิดนี้จึงเกิดขึ้นกับเส้นใยแก้วด้วย เพราะวัสดุที่ทำเป็นแก้ว ความเป็นจริงแล้วเส้นใยแก้วมีความแข็งแรงและทนทานสูงมาก การออกแบบใยแก้วมีเส้นใยห้อมล้อมไว้ ทำให้ทนแรงกระแทก นอกจากนี้ แรงดึงในเส้นใยแก้วยังมีความทนทานสูงกว่าสายยูทีพี หากเปรียบเทียบเส้นใยแก้วกับสายยูทีพีแล้วจะพบว่า ข้อกำหนดของสายยูพีทีคุณสมบัติหลายอย่างต่ำกว่าเส้นใยแก้ว เช่น การดึงสาย การหักเลี้ยวเพราะลักษณะคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ความถี่สูงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า
เส้นใยแก้วนำแสงมีราคาแพง
แนวโน้มทางด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงราคาของเส้นใยแก้วนำแสงลดลง จนในขณะนี้ยังแพงกว่าสายยูทีพีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักนอกจากนี้หลายคนยังเข้าใจว่า การติดตั้งเส้นใยแก้วนำแสงมีข้อยุ่งยาก และต้องใช้คนที่มีความรู้ความชำนาญ เสียค่าติดตั้งแพง ความคิดนี้ก็คงไม่จริง เพราะการติดตั้งทำได้ไม่ยากนักเนื่องจากมีเครื่องมือพิเศษช่วยได้มาก เครื่องมือพิเศษนี้สามารถเข้าหัวสายได้โดยง่ายกว่าแต่เดิมมาก อีกทั้งราคาเครื่องมือก็ถูกลงจนมีผู้รับติดตั้งได้ทั่วไป
เส้นใยแก้วนำแสงยังไม่สามารถใช้กับเครื่องที่ตั้งโต๊ะได้
ปัจจุบันพีซีที่ใช้ส่วนใหญ่ต่อกับแลนแบบอีเธอร์เน็ต ซึ่งได้ความเร็ว 10 เมกะบิต การเชื่อมต่อกับแลนมีหลายมาตรฐาน โดยเฉพาะปัจจุบันหากใช้ความเร็วเกินกว่า 100 เมกะบิต สายยูทีพีรองรับไม่ได้ เช่น เอทีเอ็ม 155 เมกะบิต แนวโน้มของการใช้งานระบบเครือข่ายมีทางที่ต้องใช้แถบกว้างสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้พีซีเป็นมัลติมีเดียเพื่อแสดงผลเป็นภาพวีดีโอ การใช้เส้นใยแก้วนำแสงดูจะเป็นทางออกพัฒนาการของการ์ดก็ได้พัฒนาไปมากเอทีเอ็มการ์ดใช้ความเร็ว 155 เมกะบิต ย่อมต้องใช้เส้นใยแก้วนำแรงรองรับ การใช้เส้นใยแก้วนำแสงยังสามารถใช้ในการส่งรับวีดีโอคอนเฟอรเรนช์หรือสัญญาณประกอบอื่นๆ ได้ดี
ข) การสื่อสารแบบมัลติมีเดีย ควรจะใช้สายนำสัญญาณแบบใด ให้เหตุผลประกอบ
คำตอบ
การสื่อสารแบบมัลติเดียควรใช้สายนำสัญญาณแบบสายไฟเบอร์ออพติก เพราะส่งสัญญาณได้ไกลและดีกว่าสายทองแดง เพราะสายไฟเบอร์ออพติกจะไม่มีการเหนี่ยวนำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงและสามารถหาได้ง่ายกว่าเพราะทำมาจากแก้ว
ข้อ 4.
จงอธิบายความหมายของเครือข่ายการสื่อสารแบบ LAN (Local Area Network)
คำตอบ
ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN : Local Area Network) เป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงเข้าด้วยกัน เช่น ในห้อง 1 ห้อง หรือในชั้น 1 ชั้น โดยทั่วไประบบเครือข่ายแบบ LAN ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ต่างๆ ในอาคารเพื่อแบ่งปันการใช้ข้อมูลและอุปกรณ์ร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ในระบบโรงงานจะมีการใช้ระบบเครือข่ายแบบ LAN เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ ส่วนประกอบที่สำคัญมากในระบบเครือข่ายแบบ LAN คือ File Server (File Server เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ดูแลการจัดเก็บข้อมูลและการเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ ตลอดจนกำหนดวิธีการในการเข้าถึงข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการนี้ต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOS (Network Operating System) เช่น Novell Netware Windows NT Unix เป็นต้น
ข้อดีของระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
- สื่อและอุปกรณ์เชื่อมโยงที่ใช้ในการสื่อสารมีราคาถูก
- เชื่อมโยงง่าย
- มีความเร็วสูง
- ราคาของระบบโดยรวมมีราคาถูก
ข้อที่ควรพิจารณาในการเลือกระบบเครือข่าย
- ระบบควรมีความอ่อนตัว สามารถเพิ่ม หรือ ลดได้ง่าย
- ระบบมีความสามารถสูงจริงตามที่กำหนดหรือไม่
- ราคาจริงๆ ของเครือข่ายรวมทั้งราคาซอฟต์แวร์ การพัฒนาระบบ การเชื่อมต่อ การฝึกอบรม การบริหารระบบ และค่าเสียโอกาส
- ความคงสภาพของระบบภายใต้ภาวะต่างๆ ที่มารบกวน
คุณสมบัติของเครือข่ายแบ่งขนาดตามการใช้งาน ดังนี้
ขนาดลักษณะการใช้งานเล็กแผนกหรือฝ่ายภายในชั้นเดียวกันกลางบริษัทที่หลายชั้นในตึกเดียวกันใหญ่Campus เป็นการเชื่อมต่อระหว่างตึก เช่น ในมหาวิทยาลัยโรงพยาบาล หรือบริษัทขนาดใหญ่อัตราความเร็ว1 100 Mbps ต่อวินาทีอัตราความผิดพลาดต่ำ1 ใน 10ค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000 บาทต่อจุดขึ้นไป
องค์ประกอบของเครือขายแบบ LAN
LAN เป็นการผสมผสานกันของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย
1.Work Station หรือ PC-LAN เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลบนเครือข่ายแบบ LAN
2.ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Server) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการแก่ Work Station ทั้งหมด ในการจัดเก็บและดึงข้อมูลต่างๆ จากไฟล์บนฮาร์ดดิสก์ ตัวไฟล์เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่จะมีฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูงและทนทานต่อการใช้งานหนัก เพื่อเก็บข้อมูลทั้งระบบเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการทั้งเครือข่ายนั้นจะต้องทำงานหนักมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Work Station ธรรมดาบางครั้งเราอาจจะเรียกไฟล์เซิร์ฟเวอร์ว่า Server หรือถ้าระบบใหญ่ๆ ก็จะเรียกว่า Host
3.สายสัญญาณเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล สายสัญญาณนี้จะถูกเชื่อมระหว่างสถานีงานและไฟล์เซิร์ฟเวอร์เข้าด้วยกัน เช่น สายโคแอคเชียลแบบบาง (Thin Coaxial) สายโคแอคเชียลแบบหนา (Thick Coaxia) Shielded Twisted Pair (STP) Unshielded Twisted Pair (UTP) เส้นใยนำแสง (Fiber Optic)
4.NIC (Network Interface Card) เป็นแผงวงจรที่นำมาติดไว้ในสถานีงานและไฟล์เซิร์ฟเวอร์ มีหัวต่อเพื่อเชื่อมสายสัญญาณเข้าหากัน เรียกว่า LAN Card
5.ซอฟต์แวร์สำหรับระบบเครือข่ายแบบ LAN (Network Operation System: NOS) นอกจากฮาร์ดแวร์แล้วยังต้องมีระบบปฏิบัติการเครือข่ายระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่นิยมใช้งานมากที่สุดคือ NetWare ระบบปฏิบัติการเครือข่ายอาจรวมไปถึง Unix และ Window NT ด้วย
การเชื่อมโยงเครือข่าย LAN ที่นิยมใช้กันมี 2 รูปแบบ ดังนี้
เครือข่าย LAN แบบอีเทอร์เน็ต มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100 Mbps. มีพื้นฐานรูปแบบการเชื่อมโยงร่วมกันแบบบัส คือ ทุกอุปกรณ์จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียว ดังนั้นการรับส่งต้องมีการจัดการไม่ให้รับส่งพร้อมกันเกินกว่าหนึ่งคู่ ขบวน การรับส่งข้อมูลจึงถูกกำหนดขึ้น โดยให้อุปกรณ์ที่จะส่งข้อมูลตรวจสอบว่ามีข้อมูลใดวิ่งอยู่บนสายหรือไม่ หากไม่มีจึงส่งได้ และถ้ามีการชนกันของข้อมูลบนสายก็จะส่งใหม่ การหลีกเลี่ยงการชนกันจึงกระทำได้ในเครือข่ายระยะใกล้
เครือข่าย LAN แบบโทเก็นริง มีความเร็ว 16 Mbps. เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนโดยแพ็กเก็ตข้อมูลจะวิ่งวนในทิศทางใดทางหนึ่ง ถ้ามีแอดเดรสปลายทางเป็นของใคร อุปกรณ์นั้นจะรับข้อมูลไป การจัดการรับส่งข้อมูลในวงแหวนจึงเป็นไปอย่างมีระเบียบ
เครือข่าย LAN ที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกันสามารถเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่ทุกตัวจะมีแอดเดรสประจำ และแอดเดรสเหล่านี้จะซ้ำกันไม่ได้ โดยปกติผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายได้กำหนดแอดเดรสเหล่านี้มาให้แล้ว
เพื่อจะให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างมาตรฐานกันได้นั้น มีวิธีการพัฒนาให้ระบบสามารถนำแพ็กเก็ต เฉพาะของเครือข่ายมาใส่ในแพ็กเก็ตกลางที่เชื่อมโยงระหว่างกันได้ เช่น TCP/IP ตัวอย่าง ถ้าต้องการเชื่อมเครือข่าย LAN หลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกันให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน
เครือข่ายอีเทอร์เน็ตมีแพ็กเก็ตเฉพาะเมื่อจะส่งออก ก็นำแพ็กเก็ตเฉพาะมาเปลี่ยนถ่ายลงในแพ็กเก็ต TCP/IP แล้วส่งต่อ แพ็กเก็ต TCP/IP จึงเป็นแพ็กเก็ตกลางที่พร้อมรับแพ็กเก็ตย่อยอื่นได้ ดังนั้นการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย เช่น อีเทอร์เน็ตในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นได้
ที่มา : Hardware & Network โดย น.ต.ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ ร.น. และทีมงาน
ข้อ 5.
จงอธิบายความหมายของเครือข่ายการสื่อสารแบบ WAN ( Wide Area Network)
คำตอบ
เครือข่าย WAN เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็นหลายๆ กิโลเมตร และ WAN ช่วยงานบริเวณกว้าง (แวน) ข่ายงานที่อยู่ห่างไกลกันมากแต่ติดต่อกันด้วยระบบการสื่อสารทางไกลความเร็วสูง หรือโดยยการใช้การส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อถึงกันได้ ข่ายงานแต่ละข่ายงานจะอยู่ห่างดันประมาณ 2 ไมล์ ซึ่งไกลกว่าข่ายงานบริเวณเฉพาะที่ (LAN) ที่อาจอยู่ภายในอาคารหรือบริเวณมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ดังนั้นความเร็วในการเชื่อมโยงระหว่างกันอาจไม่สูงมากกนักเพราะระยะทางไกลทำให้มีสัญญาณรบกวนได้สูง ความเร็วจึงอยู่ในระดับช่วง 9.6-64 Kbps และ 1.5-2 Mbps ขึ้นอยู่กับแอพพลิเคชั่นและขนาดของข้อมูล
ทั้งเครือข่ายแบบ LAN และ WAN ล้วนแล้วแต่ใช้หลักการของแพ็กเก็ตสวิตชิ่ง กล่าวคือ มีการกำหนดวิธีการรับส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต โดยให้แต่ละอุปกรณ์มีแอดเดรสประจำ วิธีการรับส่งมีได้หลากหลาย เราเรียกวิธีการว่า โปรโตคอล (Protocol) ดังนั้นจึงมีมาตรฐานการเชื่อมโยงระยะไกลมีการกำหนด
แอดเดรส เช่นในเครือข่าย X.25 ข้อมูลจากที่หนึ่งส่งเป็นแพ็กเก็ตส่งต่อไปยังปลายทางได้
ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตจากจุดเริ่มต้น มีแอดเดรสกำกับตำแหน่งปลายทางและตำแหน่งต้นทางแอดเดรส
เหล่านี้เป็นรหัสที่รับรู้ได้ อุปกรณ์สวิตช์จะเลือกทางส่งไปให้ หากมีปัญหาใดทำให้ปลายทางรับได้ไม่ถูกต้อง เช่น มีสัญญาณรบกวน ระบบจะมีการเรียกร้องให้ส่งให้ใหม่เพื่อว่าการรับส่งข้อมูลจะต้องถูกต้องเสมอ ระบบการโต้ตอบเหล่านี้จึงเป็นมาตรฐานที่กำหนดของเครือข่ายนั้นๆ
PUBLIC WAN
ดังนั้น เครือข่าย WAN จึงเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างองค์กร ระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศและเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพจึงมีองค์กรกลางหรือผู้ให้บริการเครือข่ายสาธารณะเข้ามาช่วยจัดการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น เครือข่ายสาธารณะที่ใช้ร่วมกันของ ทศท. และ กสท. หรือ เครือข่ายบริการ เช่น ดาต้าเนต เป็นต้น
เครือข่ายในปัจจุบันมีการเชื่อมเครือข่าย LAN หลายๆ เครือข่ายย่อยเข้าด้วยกัน จะเป็นอีเทอร์เน็ต หรือโทเก็นริงก็ได้ แล้วยังเชื่อมต่อออกจากองค์กรผ่านเครือข่าย WAN ทำให้เครือข่ายทั้งหมดเชื่อมโยงถึงกัน จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายให้มีความเร็วสูงในการรับส่งข้อมูล ซึ่งเครือข่าย WAN ที่ใช้ตัวกลางเป็นเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) สามารถส่งรับข้อมูลได้เร็วไม่น้อยกว่าเครือข่าย LAN การพัฒนาเทคโนโลยีบนถนนเครือข่าย LAN และ WAN จึงเป็นสิ่งที่ จำเป็น และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะไปได้ไกลเพียงใด ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งที่ต้องพัฒนาไปด้วย
คำว่า Information Super Highway ก็คือถนนเครือข่าย WAN ที่เชื่อม LAN ทุกเครือข่ายเข้าด้วยกันนั่นเอง
เขียนโดย : รศ.ยืน ภู่สุวรรณ
ข้อ 6.
อธิบายความหมายของ Internet, Intranet และ Extra net
คำตอบ
ระบบเครือข่ายสากล (INTERNET ) คือ Internet ที่เป็นเครือข่ายที่ดำเนินการให้บริการสื่อสารข้อมูลทั่วโลกโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของระบบเครือข่ายนี้ Internet เป็นผลจากการวิจัยและพัฒนาการทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในโครงการ APRA (Advanced Project Research Agency) ในปี ค.ศ. 1969 โดยการเริ่มจากการเชื่อมโยงข้อมูลใน 4 มหาวิทยาลัยด้วยการใช้โปรโตคอลที่มีชื่อว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) หรือที่รู้จักกันในนาม Internet protocol ได้กลายมาเป็นชื่อของระบบเครือข่ายในที่สุดจนกระทั่งปัจจุบันมีการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์กว่า 200 ล้านเครื่องและมากขึ้นเป็น 1-2 เท่าในทุกปี ต่อมามีแนวความคิดที่จะพัฒนาระบบนี้ให้เป็นศูนย์กลางของการส่งข้อมูลสารสนเทศหรือที่เรียกว่าโครงการทางด่วนข้อมูลิ โดยข้อเสนอของรัฐบาลสหรัฐประธานาธิบดี คลิงตัน และรองประธานาธิบดี อัล กอร์ ที่มีบทบาทอย่างสูงในการให้ความสนับสนุนโครงการนี้) ระบบ Internet จะมีสารสนเทศทุกประเภทที่ใช้งานในปัจจุบันในหลายๆ ภาษา (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) ไม่ว่าจะเป็นภาษาศาสตร์ วรรณคดี ศาสนา วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ บันเทิงข่าว ไปจนถึงเรื่องคลายเครียด เช่น แฟชั่น การ์ตูน หรือแม้แต่ข่าวเล่าลือที่ไม่ทราบที่มาบริการต่างๆ ในระบบอินเตอร์เน็ตมีตั้งแต่การรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) การทำกลุ่มข่าวสาร (NwesGroup Usenet) เครือข่ายใยพิภพ (World Wide Web) หรือ Web IRC (Internet Relay Chat) Internet Phone Teloconference EDI การเล่นเกมส์ การใช้และควบคุมคอมพิวเตอร์จากระยะไกล (Telnet) การโอนย้ายข้อมูล (FTP: File Transfer Protocol) และอื่นๆ อีกมากมาย กล่าวได้ว่าระบบ Internet เป็นเสมือนทางด่วนข้อมูลของระบบสารสนเทศที่จะเข้ามาถึงทุกครอบครัวให้สามารถใช้แทนการสื่อสารในรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต
อินทราเน็ต (INTRANET)
เป็นเครือข่ายภายในองค์กรโดยเปลี่ยนโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารบนระบบเครือข่ายแบบ LAN เดิมๆ เช่น IPX/SPX ไปเป็นการใช้โปรโตคอล TCP/IP เช่นเดียวกับระบบ Internet และสามารถใช้โปรแกรมต่างๆ ที่พัฒนาเพื่อใช้กับ Internet ได้เพียงแต่ Intranet จะเป็นเครือข่ายปิดใช้เฉพาะในองค์กรเท่านั้นไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำการเข้าถึงข้อมูลได้ อย่างไรก็ดีได้มีการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่ากำแพงเพลิง (Fire Wall) เพื่อกั้นการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลภายนอกผู้ที่พยายามเจาะเข้ามาในระบบและสามารถให้ผู้ที่มีสิทธิภายในเข้าถึงข้อมูลและค้นหาข้อมูลจาก Internet ได้เหมือนเดิม และได้พัฒนามาจากอาร์พาเน็ต
EXTRANET
เป็นระบบแบบเดียวกับ Intranet แต่ใช้เชื่อมโยงกันระหว่างองค์กรต่างๆ โดยทั่วๆ ไปจะเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจร่วมกันต่างจากระบบ Internet เพราะการใช้งานจำกัดขอบเขตเฉพาะกลุ่มชน ตัวอย่างเช่น กลุ่มธนาคาร จะมีเครือข่ายโอนเงินเป็นกลุ่มของตัวเอง (Swift)
ข้อ 7.
จงอธิบายการทำงานของระบบ Client and Server และอธิบายว่าประโยชน์ที่ใช้ระบบนี้คืออะไร
คำตอบ
วิธีการประมวลผลแบบกระจายวิธีหนึ่ง โดยมีการโต้ตอบกันระหว่างไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์ที่อยู่บนเครื่องของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ซอฟต์แวร์ที่อยู่บนโฮสต์คอมพิวเตอร์โฮสต์
คอมพิวเตอร์อาจจะเป็นยูนิกซ์ เมนเฟรมหรือเครื่องประเภทอื่นได้ ไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์จะจัดการด้านการแสดงผลข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ซอฟต์แวร์จทำหน้าที่ของฐานข้อมูลการติดต่อระหว่างซอฟต์แวร์ทั้งคู่จะกำหนดโดยโปรโตคอลเฉพาะ วิธีการประมวลผลแบบไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์นี้ที่เป็นที่นิยมมากขึ้นเมื่อเครื่องส่วนบุคคลและเครือข่ายมีความสามารถเพิ่มมากขึ้น
องค์ประกอบของ Client/Server
องค์ประกอบของการพัฒนาระบบงานประยุกต์ (Application Software Development) ในสถาปัตยกรรมแบบ Client/Server ประกอบด้วยกัน 3 องค์ประกอบคือ
1)ไคลเอนต์ (Client)
มักจะเรียกว่า ตัวลูกคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ (พีซี) ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งข้อมูลข่าวสาร และคำสั่งจากผู้ใช้ระบบงานไปให้แก่ Sever (ตัวแม่) เพื่ออ่านข้อมูลประมวลผลและส่งกลับมาให้ผู้ใช้
2)เซิร์ฟเวอร์ (Server)
มักจะเรียกว่า ตัวแม่คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ (พีซี หรือ พีซี ขนาดใหญ่) ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งข้อมูลข่าวสาร คำสั่งจาก Client เพื่ออ่านข้อมูลประมวลผล และส่งกลับมาให้ Client ซึ่ง Server 1 ตัวอาจจะมี Client ที่ต่อเชื่อมอยู่ในระบบงานได้หลายตัว และในแต่ละเครือข่ายอาจจะมี Server กี่ตัวก็ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละระบบงาน
3)ระบบเครือข่าย (network)
คือ ระบบงานที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เพื่อเป็นทางเดินให้กับข้อมูล ข่าวสาร คำสั่งโปรแกรมที่มีการรับ-ส่งระหว่าง Client กับ Server ที่ต่อเชื่อมโยงกัน
วัตถุประสงค์ของสถาปัตยกรรมแบบ Client/Server
สถาปัตยกรรมแบบ Client/Server มีวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่จะ
-เชื่อมโยงให้ทุก Server ทุก Client ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้ทั้งหมด
-พยายามให้ซอฟต์แวร์ทุกชนิด ทุกประเภททั้งหมดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถทำงานสอดคล้องประสานด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อการมีการใช้ระบบงานคอมพิวเตอร์ เช่น
ลดปริมาณในการลงทุน (Cost Saving)
ทำให้ประหยัดงบประมาณ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบงานคอมพิวเตอร์และสารสนเทศขององค์กร โดยสามารถวางแผนติดตั้งอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware and Equipment) ตามลำดับขั้นตอนของการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องลงทุนติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เต็มที่ทั้งหมดโดยที่ระบบงานทางซอฟต์แวร์ยังไม่พร้อมที่จะทำงาน
เพิ่มผลผลิตในกาประมวลผล (Increased Productivity)
ก่อให้เกิดการเพิ่มผลผลิตทั้งในด้านของนักพัฒนาระบบงาน (โปรแกรมเมอร์) ในการพัฒนาระบบงานประยุกต์ทางด้านคอมพิวเตอร์ การทำงานการแบ่งงานและช่วยกันทำงาน ของ Client กับ Server การกำหนดให้งาน (Process) ที่เหมาะสมไปทำงาน และประมวลผลที่อุปกรณ์ที่เหมาะสม (ฮาร์ดแวร์) เป็นต้น
สามารถขยายระบบงานได้ (Flexibility)
มีความยืดหยุ่นในการทำงาน การะประมวลผลงานสูงไม่ว่าจะเป็นระบบงานทางด้านฮาร์แวร์ที่สามารถเพิ่มขยายขีดความสามารถทางด้าน Processor. RAM, Disk Storage และอื่นๆ เพื่อให้สามารถรองรับระบบงานที่มีปริมาณมากขึ้น หรือระบบงานทางด้านซอฟต์แวร์ที่สามารถพัฒนาในระบบเครื่องคอมพิวเตอร์แพลตฟอร์มหนึ่ง สามารถนำไปทำงานภายใต้อีกแพลตฟอร์มหนึ่งได้
สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Utilization)
สามารถใช้อุปกรณ์ (Resource) ที่มีอยู่ในเครือข่ายร่วมกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุดไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ (Printer) อุปกรณ์การสื่อสาร (FAX/Modem) หรือแม้กระทั่งใช้ความสามารถพิเศษเฉพาะของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย และในปัจจุบันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดหลายประเภทสามารถเชื่อมเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ได้
ในสถานการณ์ปัจจุบัน
เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (Mainframe) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (Minicomputer) ที่มีระบบปฏิบัติการ และสภาพแวดล้อมเป็นแบบเฉพาะ (Proprietary System) เริ่มมีผู้นิยมใช้ลดน้อยลง หน่วยงาน องค์กรธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาพิจารณาใช้ระบบงาน/ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลง (ซึ่งรวมๆ เราเรียกว่า Downsizing) โดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพราคาต่ำมาทำงานเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) และใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ทำหน้าที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) โดยใช้เทคโนโลยีเครือข่ายที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมรองรับการเชื่อมโยง
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก
-ต้นทุนของระบบงานแบบ Mainframe: Client/Server ลดลงอย่างมาก ในเอกสารวิชาการบางเล่มระบุว่าต้นทุนของ Mainframe กับ Client/Server เป็นสัดส่วนกันถึง 10 ต่อ 1 (Dawna, P. xxi)
-เครื่องมือ/ภาษาคอมพิวเตอร์โปรแกรม (Software Development Tools) ในการพัฒนาระบบงาน Client/Server มี ราคาถูกลงมาก และมีประสิทธิภาพดี
-ในส่วนของการเขียนโปรแกรม (Programming and Coding) ระบบงานที่ใช้ภาษา COBOL, C หรือ Third Generation Language จะเริ่มมีผู้ใช้งานน้อยลง และจะมีการใช้ภาษาสมัยใหม่ที่สามารถสร้าง (Generate) Executable Code ที่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีแทนที่
เทคโนโลยี Client/Server ในปัจจุบัน
การพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server คืออะไร
คือ ระบบงานที่มีการจัดแบ่งหน้าที่การทำงาน การประมวลผลของแต่ละงานให้เครื่องคอมพิวเตอร์ (Platform: client หรือ Server) ที่มีความเหมาะสมมากที่สุดทำการประมวลผลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด เช่น
Client ควรจะทำงานที่เกี่ยวกับระบบการรับ-แสดงผลทางจอภาพ
Server - ควรจะทำงานทางด้าน Database Management & Storage เป็นต้น
ในการพัฒนาระบบงานประยุกต์ทางด้านคอมพิวเตอร์ เราไม่สามารถกำหนดเป็นหลักการตายตัวแน่นอน หรือออกแบบระบบงานทุกระบบงานให้มีการพัฒนาในรูปแบบของ Client/Server ซึ่งนักวิเคราะห์และนักออกแบบระบบงาน จะต้องพิจารณาคุณลักษณะ ความต้องการของระบบงานแต่ละระบบงานเป็นหลัก ว่าจะเหมาะสมกับการพัฒนาในรูปแบบใด นอกจากนี้การพัฒนาในรูปแบบ Client/Server ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด จำเป็นต้องอาศัยผู้ขาย (Vendor) หลายๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware and Equipment) ระบบงานซอฟต์แวร์ หรือระบบงานเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม (Networking and Tele-communication) รวมทั้งระบบปฏิบัติการ (Operating System/Network Operation System) ด้วย
เป้าหมายของการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server
เป้าหมายของการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server คือ พยายามกำหนด หรือออกแบบให้ผู้ใช้ระบบงาน (End User/Client) รับผิดชอบงานในส่วนของงานทางด้านการประมวลผล และคำสั่งโปรแกรมต่างๆ โดยสามารถที่จะควบคุม สั่งการการประมวลผลและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องคำนึงถึงอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันเลย
การแบ่งหน้าที่ของ Client/Server
หน้าที่การทำงานการประมวลผลงานของเทคนิคแบบ Client/Server สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1) Application Tasks
2) Rightsizing
1) Application Tasks
งานในส่วนของระบบงานประยุกต์นั้น สามารถแบ่งออกได้อีก 6 งาน คือ
User Interface หมายถึง งานของโปรแกรมประยุกต์ (Application Program) ในส่วนที่ผู้ใช้งาน (เช่น End-User) เรียกใช้ข้อมูล เช่น คำสั่งโปรแกรมที่ผู้ใช้สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์รับคำสั่ง เป็นต้น
Presentation Logic หมายถึง การแสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นบนจอภาพจากการที่ผู้ใช้งานบันทึกคำสั่ง ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน
Application Logic หมายถึง การประมวลผลที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ใช้งานบันทึกคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามโปรแกรมที่ได้กำหนด
Data Requests and Results Acceptance หมายถึง ส่วนของงานที่จะแสดงให้ผู้ใช้ระบบงานรับทราบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับทราบคำสั่ง หรือได้แสดงผลลัพธ์ของการทำงานแล้ว
Data Integrity หมายถึง ส่วนของโปรแกรมที่ทำหน้าที่ ตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อมูล (Validation) ความปลอดภัย และความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูล
Physical Data management หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการปรับปรุงแก้ไข อ่าน ลบทิ้ง เพิ่มเติม หรือ จัดการกับข้อมูลทางด้านกายภาพ
โดยทั่วไปการออกแบบระบบงานแบบ Client/Server มักจะกำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) ทำหน้าที่งานในส่วนของการบริหารจัดการข้อมูลการบริหารจัดการเครือข่าย ส่วนอื่นที่เหลือทั้งหมดจะให้เป็นหน้าที่ของ เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้ประสิทธิภาพของการทำงานที่สูงสุด โดย Client จะรับงานการประมวลผลข้อมูล ดังนั้นในอนาคตไม่ว่าจะมีการเพิ่มขยายเครือข่าย หรือ Client มากแค่ไหนก็ตามงานที่เพิ่มขึ้นมาจะอยู่ที่ Client เกือบทั้งหมด โดยที่ Server จะมีงานเพิ่มเพียงคำสั่งโปรแกรมจาก Client ที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่ว่าระบบงานแบบ Client/ Server มีโครงสร้างที่สามารถขยายขีดความสามารถและประสิทธิภาพออกได้ โดยมีข้อจำกัดที่น้อยกว่าเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์ที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Host System
ในการออกแบบโปรแกรมประยุกต์ หน้าที่ของ Client ในการประมวลผลนั้นควรจะต้องกำหนดให้ Client ทำหน้าที่ตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อมูลที่ผู้ใช้บันทึกเข้ามาตรวจสอบผิดพลาดของข้อมูลเพื่อป้องกันกลั่นกรองไม่ให้ Client ส่งข้อมูลที่ผิดๆ ไปให้ Server ทำงานซึ่งก็มีผลทำให้ลดภาระงานของ Server และปริมาณงานบนเครือข่ายลง ยังมีผลถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้นด้วย
2)Rightsizing
คือการวิเคราะห์ และออกแบบให้ระบบงานสามารถแบ่งหน้าที่ การทำงานการประมวลผลงานออกเป็นส่วนๆ และให้แต่ละส่วนของงานนั้นทำการประมวลผลที่ Client หรือ Server ที่เหมาะสมได้ครบถ้วนอย่างอิสระโดยเป็นหน้าที่ภารกิจของนักวิเคราะห์และออกแบบระบบงานฯ (Systems Analyst/System Designer) ที่จะต้องใช้ความรู้ และประสบการณ์เพื่อพิจารณาว่างานของแต่ละโปรแกรมจะมีความเหมาะสมมากที่สุดในการประมวลผลที่ Server หรือที่ Client เพื่อให้เกิด และประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด
ตัวอย่าง เช่น นักวิเคราะห์และออกแบบระบบงานฯ อาจจะกำหนดให้ Client ส่งคำสั่งโปรแกรมเพื่อไปอ่านข้อมูลจากฐานข้อมูลบน Server ตามเงื่อนไขที่ต้องการ และได้ข้อมูลตามเงื่อนไขนั้นมาจำนวนหนึ่ง ข้อมูลนั้นก็จะถูกส่งกลับมาที่ Client และ Client เองก็สามารถที่จะประมวลผล จำแนก แยก และเรียงลำดับของข้อมูลนั้นๆ ได้ตามเงื่อนไขที่จะกำหนดต่อไป
พึงระลึกไว้เสมอว่า การวิเคราะห์และออกแบบระบบงานฯ และกำหนดแบ่งหน้าที่ของการทำงานการประมวลผลงานนี้ มีความสำคัญต่อความสำเร็จและล้มเหลวของระบบงาน Client/Server ได้ เช่น ในระบบงานหนึ่ง จากกรณีที่เราสามารถให้ Client ประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่เราออกแบบระบบงานฯ ให้ไปประมวลผลที่ Server (ซึ่งเป็นลักษณะของ Host Base System) ถ้าปริมาณของ Client มีมากขึ้น (เหมือนกับ PC/Terminal มากขึ้น) การประมวลผล นั้นก็จะกลายเป็นภาระที่หนักของ Server (Host) ได้ ในขณะที่ Client อาจจะไม่มีภาระที่หนัก และ Client อาจจะเหมาะสมที่จะทำการประมวลมากกว่า Server เป็นต้น
ประโยชน์ (ข้อดี) ของการพัฒนาระบบงานในแนวความคิดแบบ Client/Server
มีผู้ใช้ระบบงาน ผู้บริหาร โปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบงานฯ หรือแม้แต่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระบบงานคอมพิวเตอร์มากมายต่างมีความสงสัย และไม่มั่นใจในการที่จะกำหนดนโยบาย หรือทิศทางของการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ในองค์กรว่า ควรจะเป็นไปในรูปแบบไหน ใช้เทคโนโลยีแบบใด จึงจะเหมาะสมกับการลงทุน และสามารถรองรับอนาคตของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วนี้ได้ คำถามที่มักจะได้รับกันเป็นประจำว่าการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server นั้นดีอย่างไร
ในบทนี้จะขอสรุปประโยชน์ หรือข้อดีของการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server ไว้ 6 ข้อดังนี้
-ประหยัดงบประมาณในการลงทุน
-เพิ่ม-ก่อให้เกิดประสิทธิผลสูง
-มีความยืดหยุ่น และสามารถขยายขีดความสามารถ/ประสิทธิภาพได้ (Flexibility and Scalability)
-ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-สามารถบริหาร ควบคุมจากส่วนกลาง (Centralized Control)
-มีคุณสมบัติที่เป็นระบบงานแบบเปิด (Open Systems)
ประหยัดงบประมาณในการลงทุน
เนื่องจากมีผู้ผลิต/ผู้ให้บริการมีมากมายก่อให้เกิดการแข่งขัน ดังนั้นโดยทั่วไปราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง (Hardware & Equipment) ระบบงานทางด้านซอฟต์แวร์ของระบบงานแบบ Client/Server มักจะมีราคาถูกกว่าระบบงานทางด้านเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (Mainframe/Mini-computer) นอกจากนี้เรายังสามารถหาบุคลากรที่สามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์แบบ PC (Personal Computer) และนักพัฒนาระบบงานที่สามารถใช้ PC ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ได้ง่ายกว่า และค่าจ้างถูกกว่าบุคลากร ทางด้านระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (Mainframe Computer/Mini Computer) ที่อาจต้องฝึกอบรมเพิ่มเติมพิเศษเฉพาะด้านเฉพาะยี่ห้อที่หน่วยงานนั้นใช้
ในการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server เราสามารถพิจารณาใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (โดยเฉพาะ PC) ที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้เลย โดยกำหนด หรือออกแบบให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้วนั้นทำงานในเครือข่ายตามความเหมาะสมของประสิทธิภาพและความสามารถนอกจากนี้ยังอาจพิจารณาเพิ่ม/ขยายขีดความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ได้เช่น การเปลี่ยน Processor การเพิ่ม RAM การเพิ่ม/เปลี่ยน Disk Storage เป็นต้น
การพัฒนาระบบงานประยุกต์ในแบบของ Client/Server สามารถแยกงานและโปรแกรมออกเป็นโปรแกรมที่ทำงานที่ Client (Front-End) และโปรแกรมที่ทำงานที่ Server (Back-End) ได้ตามความเหมาะสมที่จะวิเคราะห์ และออกแบบระบบงานฯ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของระบบงานฯ และการลงทุน
เพิ่ม/ก่อให้เกิดประสิทธิผลสูง
เนื่องจากการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server มีการแบ่งการทำงานการประมวลผลระหว่าง Client กับ Server โดย (Database) Server จะจัดการกับระบบงานฐานข้อมูล และ Client ทำหน้าที่ ในการรับคำสั่งประมวลผลแบ่งเบาภาระการทำงานของ Server ซึ่งจะทำให้มีการใช้ทรัพยากรของ Server และ Client อย่างเต็มความสามารถ และเหมาะสมก่อให้เกิดผลผลิตและการประมวลผลมากขึ้น
ผู้ใช้ระบบงานสามารถพัฒนาระบบงานได้เอง ในการพัฒนาระบบงานฯ ในปัจจุบัน เราสามารถใช้เครื่องมือในการพัฒนาระบบงานและโปรแกรม ที่ใช้ง่าย ทันสมัย ใช้เวลาในการเรียนรู้น้อย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น ภาษารุ่นที่ 4 (Fourth Generation Languages), CASE Tools (Computer-Aided Software Engineering) เป็นต้น ซึ่งจะทำให้นักพัฒนาระบบงาน (Computer Programmer/Systems Analyst/Systems Designer) ผู้ใช้ (End User) สามารถพัฒนางานบางส่วน (เช่น รายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข หรือฐานข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน) ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดประสิทธิผลในการใช้งาน (เช่น การสร้างรายงาน) จากผู้ใช้ระบบงานฯ
ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคสมัยใหม่ในการติดต่อรับ-ส่งคำสั่งโปรแกรมระหว่างผู้ใช้ระบบงานฯ กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยอาศัย รูปภาพ (Graphic) การใช้โปรแกรม GUI (Graphical User Interface) ซึ่งมีลักษณะเอื้ออำนวยต่อการใช้งานของผู้ใช้ (User friendly) อันจะส่งผลทำให้ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้ และใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจดจำคำสั่งทางคอมพิวเตอร์มาเกินความจำเป็นเพียงแต่ดูที่รูปภาพ และใช้อุปกรณ์ เช่น เมาส์ สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
เพิ่มผลผลิต และประสิทธิผลในการพัฒนาระบบงาน ในส่วนของนักพัฒนาระบบงาน การออกแบบการเขียนโปรแกรม และการพัฒนาระบบงานประยุกต์ในรูปแบบของ Client/Server สามารถทำได้ง่ายรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิผล เพราะนอกจากจะสามารถแบ่งงานกันพัฒนาระหว่าง Client/Server แล้วยังมี Development Tools ที่ช่วยในการพัฒนาอีกด้วย
และกรณีที่มีระบบงานประยุกต์ที่ทำงานภายใต้ Platform/Environment หนึ่งแล้วเราสามารถโอนย้ายระบบงานประยุกต์จาก Environment /Platform นั้นไปใช้งานภายใต้อีก Environment/Platform อื่นได้ โดยอาจจะแก้ไขหรือไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมหรือแก้ไขน้อยที่สุด
มีความยืดหยุ่นและสามารถเพิ่มเติมขีดความสามารถได้ (Flexibility and Scalability)
ระบบงานแบบ Client/ Server สามารถออกแบบระบบงานฯ ให้ใช้ Client และ Server ได้หลากหลายชนิดประเภทตามความเหมาะสมของงาน
สามารถใช้ Client ได้หลากหลายชนิด/ประเภท ระบบงานแบบ Client Sever นี้สามารถนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ Client แบบไหนยี่ห้อไหนมาต่อเชื่อมก็ได้ เช่น Pc, IBM Compatile, Mac-APPLE, Workstation เป็นต้น
สามารถใช้ Operating System (OS) ได้หลายชนิด/ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ Client สามารถใช้ OS ได้หลายชนิด/ประเภท เช่น MS-Dos, MS-Windows Series, IBM OS/2, Apple System-7 เป็นต้น
มีความยืดหยุ่นและขยายตัวได้ มีความยืดหยุ่นและสามารถขยายตัวได้ทั้ง Application Software และด้านฮาร์ดแวร์
ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ลดปริมาณข้อมูลที่ต้องรับ-ส่ง บนระบบเครือข่าย Client จะส่งคำตอบไปอ่านข้อมูลเฉพาะที่ต้องการเท่านั้น Database Server ไม่ต้องอ่านข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูลและส่งกลับมาที่ Client ทำให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องเดินทางบนเครือข่ายน้อยลง และประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
นอกจากนี้ Database Server ยังสมารถเก็บบันทึกคำสั่งบางคำสั่งไว้เพื่อใช้ในบางกรณีได้ด้วย เช่น Stored Procedures, Triggers เป็นต้น ทำให้การทำงานการประมวลผลข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาในการสั่งคำสั่งซ้ำๆ ที่ไม่จำเป็น และมีผลในการลดค่าใช้จ่ายของระบบงานเครือข่ายอีกด้วย
Store Procedure คือ โปรแกรมที่เขียนและเก็บไว้ที่ Server และจะสามารถจะถูกเรียกมาใช้งานในภายหลังได้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นส่วนของโปรแกรมที่ต้องการความสามารถในการประมวลผลสูง
Trigger คือ เงื่อนไขที่ถูกำหนดขึ้นมาให้ทำ ก่อนที่จะมีการเพิ่มเติม แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือ ลบข้อมูลออกจาก Database และยังสามารถกำหนดกฎเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ ของระบบงานได้อีกด้วย
หลักการ (Tenet) ของการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server ก็คือการให้ทุกส่วนของอุปกรณ์ในเครือข่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเช่น Client จะได้รับการออกแบบมาให้ตรวจสอบ Syntax และ Server จะทำงานที่จัดการเกี่ยวกับ Database ซึ่งทำให้จุดคอขวดของระบบเครือข่าย (Network Bottle-necks) ลดลงไป
สามารถบริหาร ควบคุมจากส่วนกลาง (Centralized Control)
การทำงานแบบ Client/Server เราสามารถออกแบบระบบงานฯ ให้ผู้ใช้ระบบงานฯ สามารถควบคุมสั่งการ การทำงานการประมวลผลงานได้จากศูนย์กลางฯ โดย
-กำหนดโปรแกรมที่ Server ให้ทำหน้าที่ควบคุม Database และเงื่อนไขการประมวลผลต่างๆ ได้
-ความถูกต้องของข้อมูล โดย Database Server ส่วนใหญ่จะใช้ DBMS แบบ Relational Database Management System (RDBMS) ซึ่งมีคุณสมบัติ และความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระดับต่างๆ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ใช้ที่อยู่ภานอกระบบ DBMS ไม่สามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลได้ และยังมีความสามารถในการป้องกันฐานข้อมูลโดยการเข้ารหัส การทำ Disk Mirroring (การใช้ Disk Controller 1 ตัว และควบคุม Disk Drive 2 ตัว) หรือการทำ Disk Duplexing (การใช้ Disk Controller 1 ตัว และควบคุม Disk Drive 1 ตัว)
นอกจากนี้ Commercial RDBMS (เช่น ORACLE, Informix, Ingres, Progres, Sybase, DB2) ยังมีคุณสมบัติความสามารถในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในฐานข้อมูล และช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ Database Server เสียอีกด้วย
มีคุณสมบัติที่เป็นระบบงานแบบเปิด (Open Systems)
คือระบบงานที่มีลักษณะที่สามารถทำงานภายใต้ Multiple Environments คือ สามารถทำงานประมวลผลงานภายใต้ Platform และ Environment ที่หลากหลาย (Multiple HardWare Vendors, GUI platforms, Operating Systems, DBMSs, Communication Protocols, Network Operating systems) โดยจะต้องพิจารณาถึงการวางระบบงานเน็ตเวิร์กให้เหมาะสมที่สุด
สามารถใช้ Database Application ที่หลากหลายได้ ผู้ใช้สามารถใช้ Application Software โปรแกรมที่คุ้นเคยเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลได้ผู้พัฒนาระบบงานสามารถเลือกใช้ Front-end/Programming Language/Development Tools ได้ตามความเหมาะสมความชำนาญ
Interoperability and Portability สามารถทำงาน ประมวลผลงานข้ามระหว่างระบบงานฯ ต่างๆ ได้ และยังสามารถโยกย้ายระบบงานจากแพลตฟอร์มหนึ่งไปอีกแพลตฟอร์มหนึ่งได้ (โดยที่ไม่ต้องแก้ไขซอฟต์แวร์ หรือแก้ไขน้อยที่สุด)
ที่มา : การพัฒนาระบบงานไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์โดยประชาชาติ ตระการศิลป์ : กทม., 2543.
ข้อ 8.
คำถาม ก. อยากทราบว่า การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ไร้สาย (Mobile wireless Communication แบ่งเป็นกี่ยุค มียุคอะไรบ้าง และแต่ละยุคมีการสนับสนุนการสื่อสารแบบใดบ้าง (เช่น เสียง, ข้อมูล, ภาพ) จงอธิบายโดยละเอียดที่สุด
คำตอบ
การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ไร้สายแบ่งเป็น 3 ยุค เนื่องจากเราสามารถเรียกยุคของการสื่อสารได้ว่า generation จึงเรียกว่า 3 generation ได้แก่ 1 g , 2 g , 3 g แต่ก็มียุค 2.5 G ซึ่งเป็นยุคระหว่าง2Gและ3G ด้วย
และในแต่ละยุคมีการสนับสนุนการสื่อสาร ด้าน เสียง, ข้อมูล, ภาพ ดังนี้
1g สนับสนุนการสื่อสารด้านเสียง ใช้ amps เป็น analog เป็นคลื่นสัญญาณจากการพูด ส่งแบบเซอกิจสวิชชิ่ง
2g สามารถส่งได้ทั้ง data และ voice เช่น GSM เป็น digital 0101 มีประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณได้ดีกว่า คือ มีความผิดพลาดของข้อมูลน้อยมาก เนื่องจาก digital มีระบบการแก้ไขความผิดพลาดของข้อมูล ส่งแบบ packet
2.5 G
สามารถส่งได้ทั้ง Data Voice Video - graphic ส่งได้ในเวลาเดียวกัน ระบบ Multimedia แต่สัญญาณภาพยังไม่ชัดนัก อยู่ในสัญญาณ digital ระบบ GSM (2g) ซึ่งมีการ upgrade ระบบมาเป็น gprs ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า EDGE (Enhanced Data rates for global Evolutionz) เป็นเทคโนโลยีที่จุดเชื่อมต่อระหว่าง 2.5 G กับ 3 G.3g สนับสนุน multimedia (voice + data + video) ไปด้วยกัน และยังทำให้รู้อีกว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน สามารถบอกสถานที่ได้ knowledge best เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาก แต่เมืองไทยไม่กล้าทำเพราะจะต้องลงทุนมาก เช่น cdma ระบบดาวเทียม WLAN และ Bluetooth ซึ่งในการใช้งานและเลือกระบบสำหรับการใช้งานขึ้นอยู่กับ แอพพลิเคชั่นที่สนองความต้องการของผู้ใช้
คำถาม ข. ประเทศไทยอยู่ในยุคการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ไร้สาย ยุคใด ด้วยเหตุผลใด พร้อมยกตัวอย่างชื่อเทคโนโลยีที่ใช้สนับสนุนการสื่อสารมัลติมีเดียในปัจจุบันของไทย
คำตอบ ประเทศไทยอยู่ในยุคการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ไร้สาย ยุค 2.5g คือ ด้านการสื่อสารสามารถส่ง voice + ภาพได้
2.5g ก็เป็นระบบ gsm
gsm คือ 2g แต่ถูก upgrade เป็น gprs และ wap จงเรียกว่า 2.5g
2.5g เป็นช่วงระหว่าง 2-3 เช่น
WAP (wireless application protocol)
Gprs (general packet radio services) เป็นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง แต่ส่งแบบ packet ส่ง voice กับ data เป็นหลัก แต่ก็สามารถสนับสนุนการส่ง multimedia (voice + data + video)
และ 1 X RTT1 ถือว่าเป็นโทรศัพท์ในยุค 2.5 G
ข้อ 9.
ก) MPEG คืออะไร จงอธิบายโดยละเอียดที่สุด และย่อมาจากคำเต็มว่าอะไร
คำตอบ
MPEG ย่อมาจาก Motion Picture Experts Group ซึ่ง MPEG เป็นกลุ่มของคณะกรรมการที่ทำงานภายใต้องค์การมาตรฐาน ISO (International Standards Organization) เพื่อสร้างมาตรฐานสำหรับการบีบอัดข้อมูลวีดีโอและออดิโอแบบดิจิตอล (digital data compression) ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานสำหรับการกำหนดรูปแบบของสายข้อมูลระดับบิตของวีดีโอและออดิโอ และรวมไปถึงวิธีการขยายกลับข้อมูลที่ถูกบีบอัด ส่วนวิธีการบีบอัดข้อมูลวีดีโอและออดิโอแบบดิจิตอลนั้น MPEG ก็มีการกำหนดมาตรฐานเอาไว้เช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติบริษัทที่ทำกิจการด้านนี้หรือโปรแกรมเมอร์ที่สนใจ สามารถที่จะสร้างอัลกอริทึม การบีบอัดข้อมูลดิจิตอลที่แตกต่างไปจากมาตรฐาน MPEG ได้เช่นกัน
สำหรับในปัจจุบัน MPEG ได้มีการพัฒนามาเป็นมาตรฐาน MPEG Layer3 ซึ่งเป็นอัล กอริทึมการบีบอัดข้อมูลดิจิตอลที่ประสิทธิภาพมาก โดยที่การบีบอัดข้อมูลดิจิตอลที่ระดับความถี่ 44.1 Khz จะสามารถบีบอัดข้อมูลเสียงให้มีขนาดเล็กลงกว่าข้อมูลเสียงต้นแบบมากถึง 12 เท่า โดยที่ไม่มีการสูญเสียคุณภาพของเสียงแต่ประการใด ซึ่งโปรแกรมที่สนับสนุน MPEG Layer3 ในปัจจุบันผู้อ่านก็สามารถทำการดาวน์โหลดได้จากอินเทอร์เน็ต
ที่มา : วารสารไมโครคอมพิวเตอร์ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2541
ข) GIF และ JPEG คืออะไร จงอธิบายโดยละเอียดที่สุด และย่อมาจากคำเต็มว่าอะไร
คำตอบ
GIF เป็นรูปแบบแฟ้มกราฟิกที่พัฒนาโดยบริษัท CompuServe เพื่อใช้สำหรับระบบเชื่อมตรงโดยเฉพาะ GIF ย่อมาจาก Graphic Interchange Format นักออกแบบบางท่านจะออกเสียงคำ GIF ว่า กิ๊ฟ เนื่องจากให้เหตุผลว่าตัว G ย่อมาจรกคำ Graphic ที่ออกเสียง ก แต่บางท่านจะอ่านว่า จิ๊ฟ เนื่องจากเป็นเสียงตัว จี ซึ่งยังไม่มีการกำหนดไว้อย่างเป็นทางการว่าจะออกเสียงอย่างไรแน่
รูปแบบ GIF จะมีสิ่งสำคัญมากอยู่ 2 ประการคือ
-รูปแบบ GIF สามารถใช้ข้ามโครงสร้างระบบได้ ซึ่งหมายถึงว่าคอมพิวเตอร์ระบบใดๆ ก็ตามจะสามารถอ่านภาพรูปแบบนี้ได้ทั้งหมด ผู้ที่ใช้กราฟิกรูปแบบ GIF สามารถส่งภาพไปถึงกันและกันได้ ไม่ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์ระบบใดอยู่ก็ตามเพื่อให้สามารถเห็นภาพได้เหมือนกัน
-สามารถบีบอัดกราฟิกในรูปแบบ GIF ได้เพื่อลดขนาดแฟ้มให้เล็กลง ตัวอย่างเช่น ภาพขนาด 2 x 2 นิ้ว ในรูปแบบ TIFF จะใช้เนื้อที่ถึง 900 กิโลไบต์ แต่ภาพเดียวกันนั้นถ้าอยู่ในรูปแบบ GIF แล้วจะมีขนาดเพียง 5 กิโลไบต์เท่านั้น
โครงสร้างการบีบอัดของรูปแบบ GIF เป็นการบีบอัดคงสัญญาณ (lossless compression) ซึ่งเป็นเทคนิคการบีบอัดที่ข้อมูลเดิมถูกสร้างขึ้นใหม่โดยไม่มีการสูญเสียส่วนใดไปเลย การบีบอัดนี้จะเป็นการคงสัญญาณทุกอย่างไว้แต่จะทำให้เนื้อที่เล็กลงเพื่อให้เหมาะกับหน่วยเก็บและการส่งผ่าน
ก่อนที่จะเก็บบันทึกภาพในรูปแบบ GIF จำเป็นต้องลดจำนวนสีที่อยู่ในภาพลงเสียก่อนโดยการเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า สี Indexed Color และเลือกจำนวนสีที่ต้องการ ปกติแล้วภาพแบบ GIF จะใช้ได้มากที่สุดถึง 256 สี เรียกว่าภาพกราฟิก 8-บิต ซึ่งเป็นจำนวนบิตที่ตั้งไว้เป็นค่าโดยปริยายอย่างไรก็ตาม ภาพ GIF ส่วนมากจะไม่จำเป็นต้องใช้ถึง 256 สีก็ได้ ถ้าใช้ 128 สีหรือน้อยกว่าจะสามารถเก็บบันทึกเป็นภาพ 7-บิต หรือจะเหลือเพียง 1-บิต โดยใช้เพียง 2 สีก็ได้ ในขณะนี้ โปรแกรมแต่งภาพ เช่น PhotoShop 5 จะมีรูปแบบให้เลือก โดยถ้าเก็บเป็น Palette: Web โปรแกรมจะลดสีให้เหลือ 216 สีโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นจำนวนสีที่ใช้ในโปรแกรมค้นผ่าน แต่ถ้าเลือกเก็บในรูปแบบอื่น เช่น Palette: Adaptive จะสามารถใช้ได้เต็มที่ตั้งแต่ 8-บิต 256 สี จนเหลือเพียง 2 สีก็ได้ แต่ทางที่ดีแล้วถ้าจะนำภาพมาใช้ในเว็บควรเก็บเป็น Palette: Web จะเหมาะกว่าตามที่มีไว้ให้ในโปรแกรม
ข้อดีของภาพรูปแบบ GIF
ภาพรูปแบบ GIF มีอยู่ 2 แบบ คือ 87a พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1987 แต่ไม่มีการใช้กันมากแล้วในปัจจุบัน และ 89a พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1989 และยังคงใช้เป็นมาตรฐานอยู่ในขณะนี้ ความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างทั้ง 2 แบบ คือ แฟ้มแบบ 89a สามารถมีสีหนึ่งเป็นสีแบบโปร่งใสได้ ความโปร่งใสจะช่วยให้สีพื้นหลังของหน้าเว็บแสดงผ่านส่วนของภาพได้ เราสามารถเลือกสีหนึ่งในภาพให้เป็นสีโปร่งใส ถ้าไม่มีความโปร่งใสแล้วภาพกราฟิกส่วนมากบนเว็บจะดูเหมือนถูกจัดอยู่ในกล่องสีขาวขนาดใหญ่ แฟ้มภาพกราฟิกรูปแบบอื่นที่ใช้บนเว็บ เช่น JPEG จะไม่สามารถมีพื้นที่โปรงใสนี้ได้
ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของภาพรูปแบบ GIF คือ การสอดประสาน (interlace) ให้ลองสังเกตดูภาพบนเว็บที่ปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ โดยที่แต่ละชั้นนั้นจะค่อยๆ เพิ่มความชัดของภาพขึ้นมาจนชัดเจนทั้งหมดในที่สุด นั่นคือลักษณะของการสอดประสานของภาพ การใช้การสอดประสานจะช่วยให้ผู้อ่านค่อยๆ ทราบว่าภาพนั้นคืออะไร แทนที่จะต้องคอยจนเต็มภาพเผื่อในกรณีที่ต้องการคลิกผ่านไปยังหน้าอื่นต่อไป ภาพแบบ JPEG จะไม่เป็นลักษณะการสอดประสาน ดังกล่าวนี้
ภาพรูปแบบ GIF สามารถสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ซึ่งเป็นข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
การเลือกใช้รูปแบบ
GIFเนื่องจากภาพรูปแบบ GIF จะเป็นภาพแบบบีบอัด ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับใช้กับภาพขนาดใหญ่และสีทึบ เช่น ภาพวาดง่ายๆ ภาพตราสัญลักษณ์ ข้อความที่เป็นกราฟิก การ์ตูน ฯลฯ ซึ่งตรงข้ามกับภาพถ่าย หรือภาพที่วาดด้วยดินสอ ถ่าน หรือระบายด้วยสีน้ำ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของสีภาพในภาพดังเช่นที่เกิดกับภาพถ่าย ภาพนั้นคงใช้รูปแบบ JPEG
เป็นที่แน่นอนว่าเราสามารถเก็บบันทึกภาพใดๆ ก็ได้ในรูปแบบ GIF ถ้าต้องการจะเก็บเพียงแต่ว่าภาพถ่ายส่วนมากจะดูดีกว่าถ้าเก็บบันทึกเป็น JPEG และแฟ้มภาพจะมีขนาดเล็กลงกว่ามากแต่ถ้าภาพเป็นภาพถ่ายขนาดเล็ก (เล็กกว่า 1.5 นิ้ว) ควรเก็บบันทึกแบบ GIF ดีกว่าเพราะบีบอัดได้มากกว่า
JPEG (อ่านว่า เจ-เพ็ก) ย่อมาจาก Joint Photograph Experts Groups ซึ่งเป็นกลุ่มรวมผู้เชี่ยวชาญภาพถ่าย ตามนัยของชื่อนี้แสดงให้ทราบว่ารูปแบบนี้เหมาะที่สุดสำหรับเก็บบันทึกภาพถ่ายหรือภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงของสี ความลึก แสง หรือโทนสี
เช่นเดียวกับภาพรูปแบบ GIF แฟ้ม JPEG สามารถใช้ข้ามโครงสร้างระบบและบีบอัดได้อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่เหมือนกับ GIF คือ การบีบอัดของ JPEG จะอยู่เป็นการบีบอัดคงสัญญาณหลัก (lossy compression) ซึ่งเป็นเทคนิคการบีบอัดในอตราสูงโดยการนำข้อมูลบางส่วนที่ซ้ำซ้อนออกไปและคงไว้ซึ่งข้อมูลสำคัญเท่านั้น การบีบอัดแบบนี้จะรวมเทคนิคการเข้ารหัสการรับรู้ไว้ด้วยซึ่งเป็นความพยายามจำกัดการสูญเสียข้อมูลเพื่อให้มนุษย์สามารถสังเกตเห็นได้น้อยที่สุด
เราไม่สามารถสร้างส่วนใดของแฟ้ม JPEG ให้เป็นแบบโปร่งใสได้ ทั้งนี้เพราะแฟ้มภาพกราฟิกทั้งหมดเป็นสี่เหลี่ยมจึงทำให้ภาพ JPEG ปรากฏในลักษณะขอบเส้นตรง แต่ในบางครั้งเราอาจทำให้ขอบภาพมีส่วนมนหรือขรุขระก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการให้เนื้อที่ภายนอกขอบมีความโปร่งใสแล้วก็จำเป็นต้องเก็บบันทึกภาพนั้นในรูปแบบ GIF แทน
Progressive JPEG
รูปแบบมาตรฐานของ JPEG ปกติแล้วจะไม่เป็นการสอดประสานภาพเหมือน GIF นั่นคือเราต้องคอยให้ภาพค่อยๆ ปรากฏอย่างช้าๆ ยาวลงมาจนเต็มภาพ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แฟ้ม JPEG มีขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ได้มีรูปแบบใหม่เรียกว่า Progressive JPEG ซึ่งได้รับความนิยมใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้นทั้งในโปรแกรมค้นผ่านและโปรแกรมภาพกราฟิกเพื่อให้สามารถเก็บบันทึกในรูปแบบนี้ได้ รูปแบบใหม่นี้จะใช้แบบแผนการบีบอัดที่ดีกว่าเดิม (หมายถึงการทำให้ได้แฟ้มขนาดเล็กลง) ซึ่งมีพิสัยของการจัดคุณภาพที่ดีกว่ามาตรฐาน JPEG และมีการสอดประสานภาพด้วย เราสามารถสร้าง Progressive JPEG ได้ในโปรแกรม PhotoShop ตั้งแต่รุ่น 4 ขึ้นไป
การเลือกใช้รูปแบบ JPEG
รูปแบบ JPEG จะไม่สามารถบีบอัดเนื้อที่สีทึบได้ดีเท่าที่ควร แต่จะใช้ได้ดีกับภาพถ่ายและภาพประเภทอื่นๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว มีหลายครั้งทีเดียวที่เราอาจต้องการเก็บบันทึกภาพถ่ายไว้ในรูปแบบ GIF เพราะอาจต้องการทำเป็นภาพเคลื่อนไหว ทำให้เนื้อที่โปร่งใส หรือทำเป็นแบบสอดประสาน (ถ้าในกรณีที่ไม่มีเครื่องมือสำหรับทำให้เป็น Progressive JPEG) แต่ไม่มีเหตุผลที่ดีอันใดเลยที่จะเก็บบันทึกภาพกราฟิก เช่น หัวเรื่องหรือปุ่ม ให้เป็น JPEG ให้ใช้ JPEG เฉพาะกับภาพถ่ายและภาพในประเภทที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น
ข้อดีและข้อกำจัดของรูปแบบ JPEG
ในขณะที่รูปแบบ GIF จำกัดการใช้สีมากที่สุดเพียง 256 สี (เรียกว่า 8 บิต) แฟ้ม JPEG สามารถบรรจุสีได้มากถึง 16.7 ล้านสี (เรียกว่า 24-บิต) จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรูปแบบนี้จึงใช้ได้ดีกว่าสำหรับภาพถ่าย ภาพที่วาดด้วยดินสอ ถ่าน หรือระบายด้วยสีน้ำ และภาพอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างสี นอกจากนี้ เรายังสามารถเลือกระดับของการบีบอัดได้ ยิ่งบีบอัดมากเท่าใดก็ยิ่งได้แฟ้มขนาดเล็กลงเท่านั้นแต่จะทำให้คุณภาพของภาพลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ภาพในรูปแบบ JPEG จะยากในการแก้ไข เพราะการแก้ไขภาพในรูปแบบนี้จะเป็นการตกแต่งแปลงสีที่อยู่ในลักษณะจุดในแผนที่บิตมากกว่าเป็นการแก้ไขข้อมูลในภาพโดยตรง นอกจากนี้ การเก็บบันทึกซ้ำ (resaving) ภาพในรูปแบบนี้จะทำให้ภาพด้อยคุณภาพลงด้วย จึงมีข้อแนะนำว่าไม่ควรเก็บบันทึกซ้ำถ้าใช้ภาพในรูปแบบ JPEG
ที่มา : สรรค์สร้างหน้าและกราฟิกบนเว็บ โดย รศ.ดร. กิดานันท์ มลิทอง : กรุงเทพฯ , 2542
ข้อ 10.
TCP/IP คืออะไร จงอธิบายโดยละเอียดที่สุด และย่อมาจากคำเต็มว่าอะไร
คำตอบ
protocol การที่จะทราบว่าอะไรคือ Protocol นั้นคงจะต้องอ้างถึงยุคแรกๆ ของการมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ในยุคนั้นผู้ผลิตแต่ละรายได้ทำการผลิตคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐานของตนเองขึ้นมา ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะกับเครื่องๆ เดียวเท่านั้น จากการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบการทำงานที่ทันสมัย ทำให้การติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องที่สำคัญขึ้นมา แต่เนื่องจากการที่เครื่องแต่ละเครื่องผลิตขึ้นมาโดยมาตรฐานที่ไม่เหมือนกัน หรือว่าการที่เครื่องมีโครงสร้างไม่เหมือนกันทำให้การส่งข้อมูลระหว่างเครื่องนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจากจุดนี้ทำให้เกิดการสร้างมาตรฐานของข้อมูลขึ้นเพื่อความสะดวกของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการที่จะติดต่อสื่อสารกัน
โปรโตคอลการสื่อสารมีมากมายหลายแบบ แต่ที่นิยม คือ X.25 TCP/IP IPX SPX NetBEUI เป็นต้น การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายจะต้องมีโปรโตคอลที่เหมือนกัน ในบางระบบอาจจะตั้งให้มีความสามารถของการทำงานหลายๆ โปรโตคอล ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นสามารถติดต่อกับระบบได้หลายๆ แบบ
โปรโตคอล
TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)ปี 1969 (2512) หน่วยงาน DoD (Department of Defense) ทำวิจัยภายใต้โครงการ DARPA (Defend Advanced Research Project Agency) เรียกว่า ARPANET เริ่มทดลองใช้ TCP/IP
ครั้งแรกปี 1980 (2532) ประสบความสำเร็จในปี 1983 (2525) โดย TCP/IP เป็นระบบเปิดทุกหน่วยงาน หรือบุคคลสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาได้
เอกสารเกี่ยวกับ TCP/IP เรียกว่า RFC (Request for Comment) ใช้เป็นข่าวสารบอกความคืบหน้าของการพัฒนา TCP-IP อยู่ในความดูแลของ IAB (Internet Architecture Board) สำหรับประเทศไทยสามารถเข้าไปที่ http://www.thnic.net
ข้อดีของ TCP/IP
-เป็น Protocol แบบเปิด ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้า
-สามารถใช้ในการสื่อสารระหว่างเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกันได้
-สามารถใช้กับระบบเครือข่ายที่ต่างๆ Platform กันได้
โครงสร้างการทำงานของ TCP/IP ยังอ้างอิงการทำงานตาม OSI Model อยู่แต่มีการรวมบาง Layer ไว้ด้วยกันเหลือเพียง 4 Layer ได้แก่ Application Transport Internet และ Network Layer เพื่อความสะดวกและความยืดหยุ่นในการทำงาน
Application Layer เป็นระดับชั้นการทำงานของ Application Program ต่างๆ ในการทำงานใช้ Winsock API (Application Program Interface) เป็นตัวกลางในการทำให้ Software จากผู้ผลิตต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ และใช้ NetBIOS (Network Basic Input Output System) ทำการเปิด Session ในการติดต่อกับระบบปฏิบัติการทำให้สามารถเปิด Application Program ขึ้นมาใช้งานได้มากกว่า 1 หน้าต่าง
Transport Layer ในระดับนี้จะทำการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องต้นทางและเครื่องปลายทางแบบ Connection Oriented และควบคุมการรับส่งข้อมูลโดยใช้ TCP และดูแลการส่งข้อมูลไปตลอดการเชื่อมต่อ ในขั้นตอนของการเชื่อมติดนั้น ขั้นตอนแรกคือขั้นตอนการเรยกไปยังเครื่องปลายทางเพื่อขอทำการติดต่อเป็นช่วงที่ใช้เวลามากที่สุด หลังจากที่ทำการส่งข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะใช้ UDP (User Datagram Protocol) ทำการเชื่อมต่อแบบ Connection Loess เพื่อส่ง Acknowledgement ไปสอบถามว่าได้รับข้อมูลครบหรือยัง
Internet Layer มีการใช้ IP (Internet Protocol) ทำหน้าหาที่อยู่ของเครื่องปลายทางและเส้นทางที่ต้องการใช้ส่ง Packets ไปให้เครื่องปลายทางและที่อยู่ที่อ้างอิงถึงใช้หมายเลข IP Address เป็นหลัก
Network Interface layer เป็นระดับชั้นของการเชื่อมต่อทาง Hardware มีรูปแบบการทำงานที่สามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่มีรูปแบบต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้
ข้อ 11)
จงอธิบายความหมายของคำและคำย่อต่อไปนี้
คำตอบ ข. Domain Name
เป็นชื่อเรียกที่ใช้เรียกแทน IP Address ต่างๆ ที่เว็บไซต์นั้นๆ เก็บอยู่เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและเรียกใช้งาน หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงและการใช้อินเตอร์เน็ต คือ Inter NIC (Internet Network Information Center) ผู้จัดการบริการ Domain ได้ทำการจัดตั้ง DNS (Domain Name System) เป็นฐานข้อมูลที่เก็บ และระบบจัดการชื่อลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เรียกว่า Domain Name Server โดยที่ Server นี้ทำหน้าที่เป็นดัชนีในการเปิดดูบัญชีหมายเลข IP Address (Lookup) จาก Domain Name ที่รับเข้ามาหรือสรุปง่ายๆ ก็คือทำการเปลี่ยนชื่อ Domain ให้เป็น IP Address นั่นเอง
ส่วนของ Domain Name ประกอบด้วยส่วนที่เป็นการกำหนดประเภทขององค์กรเจ้าของเครือข่ายนอกจากนั้น Inter NIC ยังอนุญาตให้เพิ่มการระบุว่าเครือข่ายหรือองค์กรเจ้าของเครือข่ายอยู่ในประเทศใด และผู้สร้างเครือข่ายสามารถกำหนดชื่อเครือข่ายย่อยที่มีอยู่ลงไว้ใน Domain Name ได้ด้วย ส่วนประกอบย่อยของ Domain Name แยกกันด้วยจุดเช่นเดียวกับ IP Address
ตัวอย่างของ Domain Name
Domain Name เจ้าของ
HYPERLINK http://www.microsoft.com บริษัทไมโครซอฟต์
HYPERLINK http://www.amazon.com ร้านขายหนังสือ
HYPERLINK http://www.nontri.ac.th มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Domain Name ประกอบด้วย 3 ส่วนแต่ละส่วนเรียกว่า subdomains ซึ่งมีความหมายดังนี้
ส่วนแรก บอกถึงชนิดของ Server ว่าเป็น www server หรือเป็น FTP Server
ส่วนที่สอง เป็นชื่อของ Domain ซึ่งมักจะตั้งตามชื่อของบริษัทหรือองค์กรที่เป็นเจ้าของ
ส่วนที่สาม เป็นส่วนที่ระบุถึงชนิดและสัญชาติของ Domain นั้นๆ เช่น นามสกุลของ Domain Name
คำย่อ
คำอธิบาย.com Commercial Enterprise : บริษัททั่วๆ ไป
.edu หรือ .ac Education : สถาบันการศึกษา
.org Organization: หน่วยงาน หรือ องค์กร
.gov Government : องค์กรของทางราชการ
.mil Military : องค์กรทางการทหาร
.net Network Company / Service Provider : บริษัท หรือ
หน่วยงานที่ให้บริการเกี่ยวกับเรื่อง Network
ตัวอย่างคำย่อของประเทศ
คำย่อ ประเทศ
.th ประเทศไทย
.jp ประเทศญี่ปุ่น
.uk ประเทศอังกฤษ
.au ประเทศออสเตรเลีย
.sg ประเทศสิงคโปร์
.fr ประเทศฝรั่งเศส
ดังนั้นเมื่อเห็นชื่อของ Domain ที่อยู่ในอินเตอร์เน็ตก็จะทราบถึงประเทศและสัญชาติของ Domain นั้นๆ
ตัวอย่างชื่อของ Domain
HYPERLINK
http://www.softwarepark.co.th บริษัท ซอฟต์แวร์ปาร์ค จำกัดHYPERLINK
http://www.ksc.co.th บริษัท Internet KSC จำกัดHYPERLINK
http://www.cnbc.com สำนักข่าว CNBCคำตอบ ก.
Uniform Resource Locator (URL)
เป็นอีกรูปแบบการระบุตำแหน่งหรือที่อยู่ของ Resource ต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตซึ่ง Resource ในที่นี้หมายถึงไฟล์หรือเอกสารต่างๆ โดย URL แบ่งได้เป็น 3 ส่วนย่อยๆ ดังนี้
HYPERLINK http://www.softwarepark.co.th/index.htm
Protocol Domain Name File Locate
Protocol สำหรับระบุถึง โปรโตคอล ที่ใช้ในการสื่อสารของเว็บไซต์
Domain Name ชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก็บไฟล์
File locate ส่วนนี้สำหรับระบุตำแหน่งของไฟล์ที่อยู่ในเว็บไซต์แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
Path ระบุถึง Directory ที่เก็บไฟล์ที่ใช้ในเว็บไซต์ของเรา
file Name ชื่อของไฟล์ที่อ้างถึง
คำตอบ ง.
HTTP ย่อมาจากคำว่า HyperText Procol หรือระบบการสื่อสาร
เป็นระบบการสื่อสารเชื่อมโยงเพื่อโอนย้ายไฟล์ข้อมูลชนิด HTML
ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ในระบบ WWW ดังนั้นการเชื่อมโยงเพื่อโอนย้ายไฟล์ในระบบ
WWW จึงต้องระบุแบบของการเชื่อมโยง ซึ่งเรียกว่า รหัสสืบค้นข้อมูล
(URL)ในกรณีการเชื่อมโยงโดยรหัสสืบค้นข้อมูลตามแบบ HTTP
ต้องระบุการเชื่อมโยงและแหล่งข้อมูลที่เรียกว่า WWW Server
คู่มือคำศัพท์ฉบับพกพาอินเตอร์เน็ต Internet Mini-Lexicon , วิทยา
เรื่องพรวิสุทธ์, 2539
(ญ) Home Page เป็นไฟล์ข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) หรือข้อมูล HTML
ซึ่งเป็นข้อมูลในระบบ WWW โฮมเพจเป็นข้อมูลหน้าแรกของการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูล
และเป็นไฟล์ข้อมูลที่มีชื่อขยายเป็น html
ซึ่งอาจเป็นไฟล์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เอง
หรือเป็นไฟล์ที่โอนย้ายมาจากแหล่งข้อมูลแหล่งอื่นๆ
ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เรียกว่า WWW Server โฮมเพจเปรียบเสมือนเมนูของWWW
ประจำคอมพิวเตอร์ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้นั้นๆ
สำหรับหน้าที่ของโฮมเพจที่แท้จริง คือ
เป็นข้อมูลหน้าแรกที่ใช้อ้างอิงเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ไม่สับสน
และเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากที่สุด(คู่มือคำศัพท์ฉบับพกพาอินเตอร์เน็ต
Internet Mini-Lexicon, วิทยา เรื่องพรวิสุทธ์, 2539)
ที่มา : introduction to internet โดย น.ต.ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ และคณะ , 2543
ข้อ 12) Bluetooth คืออะไร
คำตอบ Bluetooth เป็นเครือข่ายชั่วคราว คือ มีขอบเขตพื้นที่ area network pan) คือ ระบบเครือข่ายส่วนตัว Bluetooth จึงเป็น pan
เทคโนโลยีฟันสีฟ้า
อ.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์
Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดตัวหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่คาดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบของอุปกรณ์ด้านคอมพิวเตอร์และการใช้งานที่จริงแล้ว Bluetooth ไม่ได้หมายถึงฟันสีฟ้า แต่เป็นรหัส (Code Name) ที่ใช้เรียก Technology Specification สำหรับการส่งสัญญาณวิทยุระยะใกล้ระหว่าง Mobile PCs, Mobile Phones และอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่นๆ
สาเหตุที่ Bluetooth ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากนั้น เนื่องจากเทคโนโลยี Bluetooth ถูกคาดว่าจะเข้ามาแทนที่การใช้สายเคเบิลในอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่นแทนที่การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คกับโทรศัพท์มือถือเครื่องพิมพ์ PDA เครื่อง PC เครื่องแฟกซ์ แป้นพิมพ์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ซึ่งทำให้ลดข้อยุ่งยากจากการใช้สายเคเบิลซึ่งไม่สะดวก และมีข้อดีกว่าการใช้อินฟราเรดซึ่งจำเป็นต้องให้เครื่องที่ต้องการเชื่อมต่ออยู่ที่ตำแหน่งตรงกัน แต่สำหรับคลื่นวิทยุแล้ว ขอเพียงอยู่ในรัศมีของคลื่นก็สามารถเชื่อมต่อการติดต่อได้ทันที นอกจากนี้ Bluetooth ยังถูกคาดว่าจะนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ในอนาคตจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต
ช่วงความถี่ของ Bluetooth จะอยู่ระหว่าง 2.402 GHz ถึง 2.480 GHz โดยเกิดจากการ Scan ครั้งละ 1 MHz จำนวน 79 Hops สำหรับประเทศที่มีการใช้ช่วงความถี่นี้ไปแล้วเราอาจลด Bandwidth ลงได้จากการใช้ Internal Software Switch ซึ่งความเร็วสูงสุดที่สามารถ Scan ได้คือ 1600 Hops ต่อวินาที ระยะทางที่สามารถใช้ Bluetooth จะอยู่ระหว่าง 10 เซนติเมตร ถึง 10 เมตร แต่สามารถขยายได้สูงสุดถึง 100 เมตร โดยการเพิ่มกำลังส่ง
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ HYPERLINK http://www.bluetooth.net/
การทำงานของ Adhoc network ของ Bluetooth
adhoc Networkเป็นเครือข่ายชั่วคราว การทำงานโดยปราศจาก การติดตั้ง Infrastructure ของการบริหารส่วนกลาง หรือการบริการสนับสนุนมาตรฐาน โดยทั่วไปจะหา เครือข่ายพื้นที่ที่ใช้สายที่ซึ่ง Host อาจจะต่อไว้โดยปกติ adhoc Network จะถูกมองเห็น Wireless transceiver การส่งข้อมูลข่าวสารในสภาพแวดล้อม adhoc Networkสามารถที่จะเข้าไปแทนที่ ระหว่าง 2 Node ซึ่งในช่วงการส่งของแต่ละ Node หรือระหว่าง Node ซึ่งต่อตรงผ่าน Multiple Hop ผ่าน Intermediate Node บางตัว ซึ่งตีความได้ว่า Node หลายตัวซึ่งทำตัวเป็น Infrastructure Node ในกระบวนการส่งผ่านข้อมูล ต้องเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในการสื่อสารจนกระทั่งข้อมูลส่งผ่านสำเร็จสมบูรณ์ Aplication adhoc Network รวมถึงการสื่อสารทางทหาร การปฏิบัติการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ใช้ในการค้า และการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล ในการประชุม ฯลฯ ที่ซึ่งให้ความสนใจความสนใจกับระะบบเครือข่าย เป็นเครือข่าย และหรือฐานการสื่อสาร
ข้อ 13) ISP และ ASP คืออะไร จงอธิบายโดยละเอียดที่สุด และย่อมาจกคำเต็มว่าอะไร
คำตอบ
ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider, ISP)
ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะเป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างสมาชิกผู้ใช้งานบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกับอินเตอร์เน็ตสากล โดยในปัจจุบันประเทศไทยมี ISP อยู่หลายบริษัทแต่ละบริษัทจะมีข้อเสนอของบริการแตกต่างกัน เพื่อการเลือกใช้งาน โดยลักษณะของการคิดค่าบริการทั้งแบบรายเดือน คิดตามชั่วโมงของการใช้งานจริง และแบบแพ็คเกจ Package ซึ่งแบบแพ็คเกจนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการใช้งานอินเตอร์เน็ต โดยรูปแบบจะเป็นโปรแกรมที่สามารถทำการติดตั้งเพื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่ ISP ได้ การกำหนดการติดตั้งโปรแกรมโดยทั่วไป และจะมีหมายเลขสมาชิก Account Number มาพร้อมกับตัวแพ็คเกจโดยรูปแบบการใช้งานของแพ็คเกจจะถูกกำหนดเป็นชั่วโมงของการใช้งาน เมื่อใช้งานหมดจำนวนชั่วโมงแล้ว จะไม่สามารถใช้งานต่อไปได้อีก แต่ถ้าต้องการสมัครเป็นสมาชิกถาวรก็สามารถทำการลงทะเบียนผ่านทางการใช้งานต่อไปได้อีก
สำหรับผู้ที่กำลังศึกษา หรือในหน่วยงานบางหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ จะมี ISP ของตัวเองเพื่อการใช้งานในหน่วยงาน หรือองค์กรนั้นๆ และมีบางหน่วยงานหรือองค์กรที่จะสามารถเชื่อมต่อเพื่อการกำหนดการใช้งานจากที่พักอาศัยได้ และสามารถใช้งานได้ฟรี ดังนั้นผู้ที่กำลังศึกษาหรือบุคคลากรที่ต้องการใช้งานบนเครือขายอินเตอร์เน็ตควรทำการสอบถามจากผู้ควบคุมดูแล เพื่อขอทราบการกำหนดการเชื่อมต่อการใช้งานของเครือข่าย จากผู้ควบคุมดูแล เครือข่ายประจำสถานศึกษาหรือองค์กรต่างๆ เพื่อการเชื่อมต่อการใช้งานอินเตอร์เน็ต
ในการเชื่อมต่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ตนั้น ปัจจุบัน ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต หรือ Internet Service Provider (ISP) ในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือพวกที่เป็นหน่วยราชการหรือสถาบันการศึกษา ซึ่งก็คือกลุ่มที่ขยายตัวออกไปจากเครือข่ายไทยสารนั่นเอง กับพวกที่ให้บริการในเชิงพาณิชย์ คือให้บริการแก่ประชาชนหรือบริษัททั่วไป ซึ่งตามกฎหมายในปัจจุบัน ISP กลุ่มนี้ทุกรายยังต้องเป็นกิจการที่ร่วมลงทุนกับการสื่อสารและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ISP ที่ให้บริการในเชิงพาณิชย์ขณะนี้มีอยู่หลายรายด้วยกัน / และคาดว่าคงจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือในจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ เนื่องจากแนวโน้มของจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขณะนี้ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปิดให้บริการในประเทศไทยเท่านั้น จำนวนผู้ใช้และผู้ให้บริการจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มด้านการศึกษาและกลุ่มธุรกิจจะเป็นกลุ่มที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
สำหรับ ISP ที่เป็นหน่วยงานราชการนั้น บริการที่มีให้ในแต่ละที่ก็อาจจะแตกต่างกันออกไป คงต้องสอบถามจากผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของแต่ละที่เอาเอง ส่วนบริการที่ ISP ในเชิงพาณิชย์จัดเตรียมไว้มักจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกเป็นบริการให้กับผู้ใช้เฉพาะบุคคลหรือเป็นการใช้งานอินเตอร์เน็ตส่วนบุคคล ได้แก่ผู้ที่เป็นนักศึกษา, พนักงานหน่วยงานต่างๆ หรือประชาชนทั่วไป ที่ต้องการใช้งานอินเตอร์เน็ตในลักษณะของการใช้ส่วนตัว อีกประเภทหนึ่งคือการให้บริการกับผู้ใช้ที่อยู่ในรูปบริษัท คือบริษัทต่างๆ จะมาสมัครเพื่อให้พนักงานในบริษัทของตนเองใช้งาน ซึ่งจะแตกต่างจากการใช้งานส่วนบุคคล คือผู้ใช้ที่อยู่ในรูปบริษัทจะต้องจัดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์หลักหรือโอสต์คอมพิวเตอร์ (host Computer) ที่เชื่อมต่ออย่างถาวรตลอด 24 ชั่วโมงเข้ากับเครือข่ายของอินเตอร์เน็ตผ่านคู่สายโทรศัพท์ที่เช่าจากองค์การฯ พนักงานของบริษัทก็จะใช้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านโฮสต์คอมพิวเตอร์ของตัวเอง แทนที่จะเชื่อมต่อเข้าใช้บริการกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตอย่างเช่นผู้ใช้งานส่วนบุคคลทั่วไป
บริการส่วนบุคคล
บริการส่วนบุคคลที่ ISP จัดเตรียมไว้ให้ใช้จะแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น บางประเภทจะใช้เฉพาะการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น บางประเภทจะใช้บริการได้ทุกชนิด คือค้นหาข้อมูลได้ รับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้ คัดลอกไฟล์จากที่ต่างๆ ได้ ฯลฯ บางประเภทก็จะใช้งานเฉพาะโหมดตัวอักษรเท่านั้น และบางประเภทก็จะใช้งานในกราฟิกโหมดได้ ซึ่งค่าบริการและโควต้า (จำนวนชั่วโมง) การใช้งานของแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของประเภทนั้นๆ คือถ้ามีขีดความสามารถในการใช้งานมาก ราคาก็จะแพงกว่า และโดยทั่วไปแล้วการใช้งานแบบกราฟิกก็จะแพงกว่าแบบโหมดตัวอักษร
สำหรับผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตประเภทส่วนบุคคลจะต้องเตรียมการดังนี้คือ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหนึ่งเครื่องจะเป็นพีซี แมคอินทอชหรือเวิร์กสเตชั่นแบบใดก็ได้ ถ้าเป็นเครื่องพีซีก็ควรมีหน่วยความจำอย่างน้อย 8 เมกะไบต์ และมีเนื้อที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 40 เมกะไบต์ขึ้นไป เพื่อใช้ในการติดตั้งโปรแกรมและเก็บข้อมูลต่างๆ จากอินเตอร์เน็ต สำหรับโมเด็มก็ควรมีความเร็ว 14,400 บิตต่อวินาทีขึ้นไป ตามมาตรฐาน V.32 bis (แต่ถ้าเป็นการใช้งานแบบกราฟิก ก็ควรจะหาโมเด็มที่เร็วที่สุดเท่าที่จะหาได้ เช่น 28,800 บิตต่อวินาทีมาใช้) พร้อมกับสายโทรศัพท์ต่อเข้ากับโมเด็ม และสมัครเข้าเป็นผู้ใช้อินเตอร์เน็ตกับบริษัทผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง โดยกรอกใบสมัครพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและจ่ายค่าสมัครตามอัตราที่กำหนด เราก็จะได้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเข้าใช้งานเพื่อเข้าเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ส่วนโปรแกรมสื่อสารข้อมูลสำหรับติดต่อรับส่งข้อมูลกับโมเด็มนั้น ถ้าเป็นเครื่องพีซีหรือเครื่องแมคอินทอช ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตมักจะจัดเตรียมมาให้เราพร้อมกับโปรแกรมอื่นๆ ที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในแบบกราฟิกนั้นจะมีซอฟต์แวร์ประกอบการใช้งานหลายตัว ซึ่งถ้าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจัดเตรียมมาให้ครบถ้วน ก็จะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น เมื่อทุกอย่างครบแล้วเราก็พร้อมที่จะใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
บริการในรูปบริษัท
ในกรณีที่เป็นผู้ใช้ในรูปบริษัทนั้นจะมีการเตรียมอุปกรณ์มากกว่าและยุ่งยากกว่า กล่าวคือจะต้องมีโฮสต์คอมพิวเตอร์ (ซึ่งมักจะเป็นระบบ Unix), ซอฟต์แวร์สำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ต, คู่สายโทรศัพท์ที่เช่าเพื่อรับส่งข้อมูลระหว่างโฮสต์คอมพิวเตอร์ของเรากับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอีกหลายๆ เครื่องที่จะเชื่อมต่อเข้ากับโฮสต์คอมพิวเตอร์ของเราตามความต้องการใช้งาน โดยอาจผ่านทางระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) หรือต่อผ่านโมเด็มก็ได้ นอกเหนือจากการเตรียมอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ต่างๆ แล้ว ยังต้องมีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมและดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์อีกจำนวนหนึ่งด้วย เช่นเดียวกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดกลางทั่วๆ ไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานในการเตรียมพร้อมที่จะเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต
บริการอื่นๆ
นอกจากบริการการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตโดยตรงแล้ว หลายบริษัทยังให้บริการแบบอื่นๆ เสริมด้วย เช่น บริการทางด้านเผยแพร่ข้อมูล มีตั้งแต่ให้เช่าพื้นที่บนเครื่องในการจัดตั้ง web page ของลูกค้า ให้เช่าเครื่องทั้งเครื่องสำหรับตั้ง web site บริการข้อมูลต่างๆ ที่บริษัทผู้ให้บริการจัดหาหรือรวบรวมมาเอง เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับธุรกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ท่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ เป็นต้น เรียกว่าเป็นศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรเลยทีเดียว
ชื่อบริษัท VS ชื่อบริการ
ผู้ให้บริการหลายรายได้ใช้ชื่อบริการกับชื่อบริษัทเป็นคนละชื่อกัน ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะมีหลายบริษัทในกลุ่มที่แบ่งแยกหน้าที่กัน เช่น บางบริษัททำหน้าที่เป็น ISP หรือ Internet Service Provider คือให้บริการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและดูแลระบบการเชื่อมต่อที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว (ซึ่งตามกฎหมายในปัจจุบัน ISP ทุกรายยังต้องเป็นกิจการที่ร่วมลงทุนกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยดังที่ได้อธิบายแล้ว) ส่วนบริการเสริมอื่นๆ เช่นบริการข้อมูลแบบออนไลน์หรือการโฆษณาต่างๆ จะเป็นหน้าที่ของบริษัทอื่นในเครือไปแทน และโดยมากก็มักจะต้องการโปรโมทหรือโฆษณาชื่อบริการมากกว่า จะมีเฉพาะบางรายที่ใช้เป็นชื่อเดียวกันหรือไม่มีการตั้งชื่อบริการให้ชัดเจน ข้อมูลต่อไปนี้จะพยายามอ้างอิงโดยใช้ชื่อบริการหรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปเป็นหลักมากกว่า
ที่มา : ท่องโลกอินเตอร์เน็ตยุค 2000 กับ Internet Explore s โดย สตตพฤศ์ คงวงศ์ ; สตาร์คอม : 2542
รอบรู้ internet และ World wide Web โดย ต้น ตัณฑ์ สุทธิวงศ์ กรุงเทพ, 2539.
ASP
Active Server Page ก็คือ เอกสาร HTML ที่มีนามสกุลเป็น .asp แต่ ASP มีความสามารถที่สูงกว่า HTML ธรรมดามาก ทั้งนี้เพราะ ASP สามารถสร้างเว็บเพจ ที่ติดต่อปฏิสัมพันธ์ กับผู้ใช้ผ่านทางเบราเซอร์ได้ ที่เราเรียกว่า Dynamic และ Interactive ได้ ASP จะทำงานในลักษณะ Server-Side ถ้าคุณเคยใช้ฟังก์ชันของ JavaScript ในเอกสาร HTML สำหรับทำให้เกิดรูป แบบ พิเศษ ต่าง ๆ หรือการตรวจสอบค่าต่าง ๆ ในฟอร์ม ซึ่งเราเรียกลักษณะการทำงานของสคริป์ท นี้ว่า Client-Side ทั้งนี้เพราะว่า มัน จะ ทำการ ดาวน์โหลดสคริป์ท เหล่านี้มาพักที่เอกสาร และทำการเอ็กซ์คิวซ์ ในเบราเซอร์ฝั่ง Client แต่ถ้าเป็นลักษณะการทำงานของ Server - Side นั้น จะทำการเอ็กซ์คิว ทางฝั่ง Server-Side โดยไม่ต้องดาวน์โหลดสคริป์ท มาที่เบราเซอร์เลย
ลักษณะที่สำคัญและโดดเด่นของ ASP มีด้วยกัน 4 อย่าง นั่นคือ
1. Active Server Pages สามารถบรรจุ Script ที่ใช้ประมวลผลทาง Server ได้การทำเช่นนี้ได้ทำให้เกิดประโยชน์มาก เพราะ จะทำให้เราสามารถสร้างหน้าเอกสารที่เป็น dynamic ได้ตัวอย่างง่ายๆที่แสดงถึงประโยชน์ของคุณลักษณะนี้คือ เรา สามารถ ที่จะสร้างเอกสาร (page) ที่แสดงข้อความทักทายที่แตกต่างกันไปในแต่ละเวลาของวันได้
2. Active Server Pages ได้เตรียม built-in object มากมาย การที่มี built-in object ใน Active Sever Pages ช่วยให้ Script ของเรามีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น นั้นเพราะ Object ต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราสามารถรับ-ส่ง ข้อมูล (data) ระหว่าง Server กับ Client (Browser) ได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ Object "Request" เราสามารถรับข้อมูลจากผู้ใช้ที่ส่งมาทางฟอร์ม (Form) ของ HTML และส่งข้อมูลนั้นต่อไปให้กับส่วนของ Script ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
3. Active Server Pages สามารถเพิ่ม Component ที่ต้องการได้ ไม่เฉพาะ Componentมาตรฐาน ที่ Active Server Pages ได้เตรียมไว้ตอนที่ Install เท่านั้น Active Server Pages ยังสามารถทำการเพิ่ม Component ที่ผู้ ใช้ต้อง การ เข้า ไปได้อีก
4. Active Server Pages สามารถทำการติดต่อกับฐานข้อมูล (Database) ดังเช่น Microsoft SQL Server หรือ Microsoft Access ได้เป็นอย่างดี โดยการใช้ชุดของ Object พิเศษ (Object เหล่านี้มีเป็นมาตรฐานอยู่แล้วใน Active Server Pages) ที่เรียกว่า ActiveX Data Object (ADO) คุณลักษณะในข้อนี้ทำให้ Active Server Pages มี ประสิทธิ ภาพมาก ที่สุด ใน การ ที่จะนำไปใช้งาน
ดังนี้ด้วยคุณลักษณะที่โดดเด่นทั้ง 4 ข้อ ที่กล่าวมา ทำให้กล่าวได้ว่า Active Server Pages นั้นคือ หน้าเอกสาร HTML (pages) มาตรฐานที่ได้เพิ่มการทำงานของ Script ที่ประมวลผลทาง Server โดยมี Object และ Component เพิ่ม เข้ามา ช่วย ในการทำงาน ทำให้สามารถสร้าง Web site ที่มีหน้าเอกสาร (pages) แบบ Dynamic ได้
ข้อ 14. จงอธิบายความหมายของ Batch Processing และ On-line Processing รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของ Process ทั้งสอง
คำตอบ
ในการพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server ที่มีการกระจายระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ออกไปตามสถานที่ต่างๆ ตามความเหมาะสมของความต้องการของระบบงานนั้นๆ นักพัฒนาระบบงานฯ จึงจำเป็นต้องพิจารณาระบบการทำงานการประมวลผลงาน ของแต่ละระบบงานประยุกต์ (Application Software) ที่จะเหมาะสมกับการออกแบบระบบงานฯ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของการทำงานการประมวลผลงานสูงสุด และลงทุนตามความจำเป็น
On-Line Transaction Processing System คือ ระบบการทำงานการประมวลผลงานรับ-ส่ง แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ (Client/Terminal กับ Server/Host) ในการประมวลผลทางธุรกรรมหนึ่ง
รูปแบบการประมวลผลงานแบบ On-Line
มีผู้ใช้คำว่า On-Line ในการออกแบบระบบงานคอมพิวเตอร์มากมาย บางท่านพูดสั้นๆ ว่า ระบบงาน On-Line บางท่านพูดโดยใช้ศัพท์ที่ใกล้เคียงกน ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนขึ้นในการสื่อความหมายความเข้าใจกันในรูปแบบของระบบงานประยุกต์ทางด้านคอมพิวเตอร์แก่ผู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
ดังนั้นในบทนี้จะบรรยายถึงการแบ่งรูปแบบการประมวลผลงานประยุกต์ ทางด้านคอมพิวเตอร์ (Application Software) ออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้
1)On-Line Interactive System
คือระบบงานที่ทำการประมวลผลโต้ตอบทันทีทันใดระหว่าง Client/Terminal กับ Server/Host (ส่วนใหญ่จะเน้นที่เป็นภายในเครือข่ายเดียวกัน)
2)Off-Line Transaction Processing System
คือระบบงานคอมพิวเตอร์ที่ทำการบันทึกข้อมูลที่ Client/Terminal กับ Server/Host เครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่งก่อน แล้วจึงส่งผ่านข้อมูลเหล่านั้นไป Update ที่ Server/Host อีกเครือข่ายหนึ่ง (หรือ บางตำราอาจเรียกว่า Batch File Transfer)
เช่นระบบงานที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างท้องที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปและสามารถทำงานอย่างอิสระได้ภายในเครือข่ายของตัวเอง แต่จำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูลกับเครือข่ายอื่นเป็นต้น
การลงทุนเครือข่ายลักษณะนี้ ค่อนข้างถูก และเหมาะสมกับระบบงานที่ไม่จำเป็นต้องปรับปรุง (Update) ข้อมูลทันทีทันใด โดยระบบงานฯ สามารถทำงานได้ครบกระบวนการในระบบคอมพิวเตอร์ของตัวเอง และจะใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นการชั่วคราวกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรับ-ส่งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเช่น ในหน่วยงานของราชการไทย จะมีหน่วยงานระดับ อำเภอ จังหวัด เขต/ภูมิภาค กรมฯ และกระทรวงฯ นักพัฒนาระบบงานฯต้องพิจารณาลักษณะของระบบงานฯว่ามีความจำเป็นต้องรับ-ส่งข้อมูลทันทีทันใดหรือไม่อาจออกแบบให้ระบบงานฯ ทำงานในลักษณะ Standalone ที่อำเภอ และค่อยทำ Batch File Transfer ไปที่จังหวัด และจังหวัดอาจทำ Batch File Transfer ไปที่เขต/ภูมิภาคอีกทอดหนึ่ง (แต่ให้พิจารณาถึงกฎระเบียบขององค์การโทรศัพท์ฯ ด้วยในการใช้สายโทรศัพท์เพื่อส่งข้อมูลข่าวสาร)
3)Batch Processing System
คือระบบงานที่บันทึกข้อมูล/รายการ (Transaction) ไว้จำนวนหนึ่งก่อน แล้วจึงส่งข้อมูลเหล่านี้ไป Update ที่ระบบฐานข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง (ส่วนใหญ่จะเป็นภายในเครือข่ายเดียวกนภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน หรือเป็นระบบงานเดียวกัน) เช่น ระบบงานบัญชี ที่อาจมีขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง หรือ Balance กัน ก่อนแล้วจึงจะ Update/Post บัญชีภายหลัง เป็นต้น
4)On-Line Real Time Interactive System
คือระบบงานคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผล และปรับปรุงข้อมูลทันทีทันใดให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ที่ระบบฐานข้อมูลไม่ว่ารายการข้อมูลนั้นจะถูกบันทึกที่ใดก็ตามในเครือข่ายเดียวกันหรือต่างเครือข่ายก็ตาม ระบบงานเงินฝาก-ถอน แบบ ATM (Automatic Teller Machine) เป็นต้น
นักพัฒนาระบบงานฯ อาจพิจารณาการออกแบบระบบงานแบบ Client/Server โดยเลือกใช้เทคนิคของระบบงาน On-Line ที่เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละระบบงานฯ หรืออาจใช้แบบผสมหลายรูปแบบในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่รองรับลักษณะของระบบงานที่แตกต่างกันก็ได้ เช่นกัน
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ Distributed Database ของงาน On-Line Transaction Processing System
การพัฒนาระบบงานแบบ Client/ Server นั้น ในบางสภาพแวดล้อมเราจำเป็นต้องพิจารณาถึงการออกแบบระบบงานให้มีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ Server พร้อม PC-Client กระจายออกไปตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลกันตามภูมิประเทศ ซึ่งทำให้เกิดระบบการกระจายศูนย์คอมพิวเตอร์ และ ระบบงานฐานข้อมูล (Physical Database System) ออกตามไปด้วย
ดังนั้น นักพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ และ สารสนเทศ พร้อมระบบงาน เครือข่ายจำเป็นต้องคำนึงถึง ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ Distributed Database ของงาน On-Line Transaction Processing System ซึ่งสามารถสรุปได้ 4 หัวข้อ ดังนี้
1)ขนาด/ความจุของฐานข้อมูล (Capacity)
การออกแบบศูนย์กลางระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่นั้นนักพัฒนาระบบงานฯ จำเป็นต้องคำนวณขนาดของฐานข้อมูลที่มีความเป็นไปได้ว่า จะมีขนาดใหญ่ระดับไหน ถ้าประเมินผิดพลาดอาจมีผลถึงประสิทธิภาพของระบบงานฯ ได้
คือ ถ้าฐานข้อมูลใหญ่เกินไป อาจทำให้ประสิทธิภาพของระบบงานลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้พิจารณาเลือกใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ Server สำหรับ Data Server หรือ Database Server ที่เหมาะสม
2)ขีดกำจัดของเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร (Transmission media limitations)
ขีดจำกัด / ข้อจำกัดของความสามารถ คุณภาพ และ เทคโนโลยีทางดานการติดต่อสื่อสาร โทรคมนาคมที่สามารถหาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ (Reliability and Availability) ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในแต่ละเขตพื้นที่
3)โครงสร้างการบริหารการจัดการ (Organization Structure)
การออกแบบระบบงานแบบกระจายศูนย์คอมพิวเตอร์ออกไปนั้น จำเป็นต้องศึกษาถึงโครงสร้างการบริหาร การจัดการขององค์กรนั้นให้เข้าใจ และ วิเคราะห์ ออกแบบระบบงานเครือข่ายฯ ตามความเหมาะสมของโครงสร้างฯ นั้น เช่น บางองค์กรอาจมีการจัดโครงสร้างการบริหารหน่วยงานออกเป็น กรุงเทพ / เขต / จังหวัด / อำเภอ / ตำบล / ตัวบุคคล (ผู้บริหาร พนักงานขาย)เป็นต้น
4)ระบบฐานข้อมูลที่มีความหลากหลาย (Combining heterogeneous data sources)
ระบบงานแบบ On-Line Transaction Processing System นั้น อาจจำเป็นต้องบริหารจัดการระบบงานฐานข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแตกต่างกัน (เช่น Filing System, RDBMS ต่างยี่ห้อกัน เป็นต้น) ในแต่ละสถานที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพทั้งทางด้านเทคนิค การลงทุน และ การบริหารจัดการ
ดังนั้น นักพัฒนาระบบงานแบบ Client/Server ที่จำเป็นต้องพัฒนาระบบงานที่เป็นแบบ On-Line Transaction Processing System และยังต้องพัฒนาระบบงานฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์นั้น จำเป็นต้องศึกษา เรียนรู้ และ ทำความเข้าใจในวิชาการ หลักการเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้งก่อนดำเนินการจึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
ที่มา : การพัฒนาระบบงานไคลเอนต์ / เซิร์ฟเวอร์ : ประชาชาติ ตระการศิลป์, กรุงเทพฯ : 2543.
ข้อ 15 จงอธิบายหน้าที่ของ Modem และทำไมต้องเชื่อมต่อ Modem เข้ากับคอมพิวเตอร์เมื่อต้องการเชื่อมคอมพิวเตอร์ เข้ากับระบบ internet
MODEM (Modulator and Demodulator)
โมเด็มเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ที่เป็นรูปแบบ Digital ให้อยู่ในรูปแบบ Analog หรือคลื่นที่สามารถส่งไปได้ตามสายโทรศัพท์และทำการส่งไปยังเครื่องปลายทาง ก่อนที่มีโมเด็มต่ออยู่เช่นกัน ทำการแปลงสัญญาณจากรูปแบบ Analog ที่ไม่สามารถเข้าใจได้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปแบบ Digital
ในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะเข้าใจเฉพาะเลข 0 และ 1 เท่านั้น ซึ่งจากแผนภาพไม่ว่าจะเป็นในระบบ Digital หรือว่าระบบ Analog ก็ตาม สัญญาณที่ถูกส่งออกไปนั้นจะถูกแปลงค่าและส่งไปยังเครื่องปลายทาง เครื่องปลายทางจะทำการแปลงข้อมูลสัญญาณที่ได้รับให้อยู่ในรูปแบบของ 0 และ 1 เพื่อทำงานต่อไป
ในการแปลงรูปแบบของข้อมูลนั้น มีกรรมวิธีมากมายที่ใช้ในการแสดงค่าที่แตกต่างกันเมื่อมีการส่งข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการใช้ความถี่ที่ต่างกัน (Frequency) หรือว่า การวัดที่ความเปลี่ยนแปลงของความสูงของคลื่นที่ขึ้นลง (Amplitude) เป็นต้น
ในการแปลงค่าจากสัญญาณที่เป็น Analog นั้น มีวิธีในการที่จะทำให้คลื่นสามารถแสดงค่าที่แตกต่างกันได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความถี่ที่แตกต่างกัน หรือว่าจะให้ความแตกต่างของคลื่นในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เพื่อที่จะสามารถใช้ในการแปลงค่าได้
ในการส่งสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณในรูปแบบ Analog หรือว่า Digital มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สื่อกลางในการส่งข้อมูล และเป็นที่ทราบกันว่าสื่อทุกชนิดนั้นมีความต้านทานอยู่ในตัวเองทำให้สัญญาณที่ถูกส่งออกไปนั้นอ่อนแรง (Weak) และทำให้เกิดรูปร่างที่ผิดเพี้ยน ทำให้เกิดความผิดพลาดในการส่งข้อมูลนั่นเอง และเนื่องจากสาเหตุนี้จึงได้เกิดการผลิต Repeater เพื่อทำการทำการขยายสัญญาณให้มีความคมชัดมากขึ้นในระหว่างทางที่ทำการส่ง เพื่อป้องกันการเสียรูปของสัญญาณอันจะทำให้เกิดความผิดพลาดของข้อมูล
โมเด็มในปัจจุบันนอกจากจะทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นจาก Digital เป็น Analog หรือจาก Analog เป็น Digital แล้ว ยังมีโมเด็มอยู่อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า Digital Modem ทำงานโดยการส่งสัญญาณที่เป็นสัญญาณ Digital โดยไม่มีการแปลงสัญญาณ
ความเร็วในการรับและส่งข้อมูลของ Modem ในปัจจุบันนั้นเริ่มตั้งแต่ความเร็วที่ 14400, 28830,33600 และ 56000 โดยความเร็วยิ่งมากก็จะยิ่งทำการส่งและรับข้อมูลได้เร็วมากขึ้นด้วย ซึ่งในการเลือกซื้อนั้นควรจะทำการเลือก Modem ที่ใช้มาตรฐานสากลหรือมาตรฐานที่เป็นที่ยอมในขณะนั้นเพื่อเลี่ยงปัญหาการไม่สามารถติดต่อกันได้ระหว่าง Modem
สาเหตุที่ต้องเชื่อมต่อ Modem เข้ากับคอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับระบบ Internet เพราะ Modem เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานในปัจจุบัน ซึ่งต้องมีการส่งข้อมูล หรือ ข้อความจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป ถ้าไม่ใช้โมเด็มเราอาจต้องพิมพ์ข้อมูลลงบนกระดาษแล้วส่งไปทางจดหมาย ซึ่งผู้รับจะต้องนำข้อมูลนั้นไปบันทึกเข้าคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง หรือมิเช่นนั้น เราก็อาจต้องก๊อปปี้แฟ้มข้อมูลนี้ลงบน แผ่นดิสเกตต์แล้วส่งแผ่นนั้นไปทางไปรษณีย์ ซึ่งอาจจะช้าหรือสูญหายได้ แต่ถ้าหากใช้โมเด็มและสายโทรศัพท์แล้วเราสามารถส่งแฟ้มข้อมูลนั้นไปยังผู้รบได้ทันที และเมื่อผู้รบได้รับแล้วก็สามารถนำข้อมูลนั้นไปประมวลผลได้ทันทีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หน่วยงานราชการบางแห่งจำเป็นจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์กระจายอยู่ตามสำนักงานย่อยหลายแห่ง เพื่อเก็บบันทึกข้อมูล เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ก็จะต้องส่งข้อมูลนั้นผ่านโทรศัพท์ส่งมายังหน่วยงานหลัก ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็จะต้องบันทึกข้อมุลูลงในแผ่นดิสเกตต์ เพื่อส่งกลับหน่วยงานหลักทางไปรษณีย์ ซึ่งนอกจากจะช้าแล้ว ยังอาจสูญหายได้ด้วย
ที่มา : Hardware & Network โดย น.ต. ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ และคณะ, 2543.
และไอทีเพื่อประชาชน